×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

5 เทคนิคเก็บเงินเที่ยวรอบโลก

8,531

 

ทุกวันนี้ สังเกตว่าคนรุ่นใหม่เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น จึงมีคำถามตามมาว่า พวกเขาเก็บเงินกันอย่างไรถึงได้ท่องเที่ยวกันปีละครั้ง สองครั้ง บางคนไม่ใช่แค่ท่องเที่ยวในประเทศเท่านั้น ยังบินไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง ครั้งละๆ เป็นสัปดาห์

 

คำตอบก็คือ หากชอบเดินทางท่องเที่ยว ก็ต้องรู้จักวางแผนการเงินเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งการเก็บเงินมีอยู่ด้วยกัน 5 วิธีง่ายๆ

 

1.เงินก้อนแรก | แบ่งจากโบนัส

หากไม่มี “เงินก้อนแรก” การเดินทางท่องเที่ยวจะยังเป็นเพียงความฝันต่อไป ดังนั้น เพื่อเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นจริง เงินก้อนแรกคือกุญแจดอกสำคัญ

 

เคล็ดลับง่ายที่สุดนั่นคือ เมื่อได้รับโบนัสตอนปลายปี แบ่งเงินประมาณ 50,000บาทเพื่อเป็นทุนประเดิมกับการวางแผนการเงินเพื่อการท่องเที่ยว

 

เหตุผลที่ใช้เงินจากโบนัส เพื่อไม่ให้ไปเบียดบังกับเงินก้อนอื่นๆ เช่น ส่วนค่าใช้จ่ายประจำ เงินออมเพื่อวัยเกษียณ หรือเงินเพื่อเตรียมซื้อบ้าน เป็นต้น

 

2.หาทางให้งอกเงย | กองทุนรวมหุ้น  

เมื่อเตรียมเงิน (50,000 บาท) ก้อนแรกแล้ว ถัดมาต้องหาทางเพื่อทำให้เงินงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

ด้วยความเสี่ยงไม่สูงเกินไป รวมถึงมีความสะดวก รวดเร็วในการซื้อและขาย ที่สำคัญต้องไม่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากได้รับผลกำไรจากการลงทุน

 

“กองทุนรวมหุ้น” คือคำตอบที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว เหมาะกับการเก็บเงินเพื่อเดินทางท่องเที่ยว โดยเลือกกองทุนหุ้นที่ไว้วางใจได้ ด้วยการศึกษาประวัติการดำเนินงานย้อนหลัง เช่น 5 ปี 10 ปี ซึ่งผลการดำเนินงานโดยเฉลี่ยต้องเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

โดยทั่วไปกองทุนที่น่าสนใจ เช่น กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นบลูชิป หุ้น SET50 หรือ SET100 และต้องเลือกกองที่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เพราะจะได้ไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย

 

3.เริ่มลงทุน | เลือกเพียง 1 กอง 

เมื่อศึกษาหาข้อมูลเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาตัดสินใจเลือกกองทุน ซึ่งควรเลือกเพียง 1 กองทุน เพื่อทำให้มีสมาธิกับการดูแล รวมถึงทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า สนุกสนานเมื่อได้เห็นเงินลงทุนงอกเงยขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น

ตอนนี้มีเงินลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท

 

4.สม่ำเสมอ | เพิ่มเงินต้น เพิ่มผลตอบแทน 

เมื่อลงทุนไปแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ ทุกๆ เดือนควรใส่เงินเข้าไปในกองทุนนี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้เงินต้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะถ้ามีเงินต้นเยอะ ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง

 

กรณีซื้อครั้งเดียว : วันที่ 1 มกราคมปี 2560 ซื้อกองทุนหุ้น 1 กอง จำนวน 50,000 บาท (ไม่ลงทุนเพิ่ม) พอถึง 31 ธันวาคมปี 2560 กองทุนนี้ให้ผลตอบแทน 5% แสดงว่าได้กำไร (ไม่รวมเงินต้น) 2,500 บาท


กรณีลงทุนสม่ำเสมอ : วันที่ 1 มกราคมปี 2560 ซื้อกองทุนหุ้น 1 กอง จำนวน 50,000 บาท จากนั้นทุกๆ สิ้นเดือนก็ลงทุนอย่างสม่าเสมอเดือนละ 1,000 บาท พอถึง 31 ธันวาคมปี 2560 (จะมีเงินลงทุนทั้งสิ้น 62,000 บาท)

ถ้ากองทุนนี้ให้ผลตอบแทน 5% แสดงว่าได้กำไร (ไม่รวมเงินต้น) ประมาณ 2,888 บาท

 

5.หาทางหนีทีไล่ | ขาดทุนต่อเนื่อง ขายทันที 

การลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นเมื่อลงทุนไปแล้วถ้าในระหว่างเกิดความผิดพลาด เช่น กองทุนที่ซื้อมีผลขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และเมื่อศึกษาข้อมูลแล้วพบว่าไม่มีอนาคตต้องตัดสินใจขายทันที แล้วไปเริ่มต้นกับกองทุนกองใหม่ และเมื่อไหร่ที่มีแผนไปเที่ยว ค่อยขายเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

 

คราวนี้ลองมาคิดต่อว่า สมมติว่าวันที่ 1 มกราคมปี 2561 เราเพิ่มเงินลงทุนจากโบนัสไปอีก 50,000 บาท จะทำให้มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 114,888 บาท (64,888+ 50,000) จากนั้นทุกๆ สิ้นเดือนก็ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ 1,000 บาทต่อเดือน เมื่อถึงสิ้นปี 2561 ถ้ากองทุนนี้สร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 5% แสดงว่าได้กำไร (ไม่รวมเงินต้น) ประมาณ 6,200 บาท

 

จากตัวอย่างดังกล่าว จะเห็นได้ว่า หากเรานำเงินโบนัสมาลงทุน 100,000 บาท ผ่านไปเพียงแค่ 2 ปีจะได้กำไรประมาณ 33,000 บาท ซึ่งกำไรระดับนี้สามารถนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวได้สบายๆ

ดังนั้น หากเริ่มต้นเก็บเงินเร็ว มีวินัย มีเป้าหมาย อดทนที่จะรอ ที่สำคัญลงทุนสม่ำเสมอ ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม

 

#WealthMeUp

 

กด Subscribe รอเลย…

Facebook | Line | Youtube | Instagram

Related Stories

amazon anti fatigue mats