หุ้นบลูชิพ ที่น่าสนใจ
โดยปกติช่วงตลาดไม่ค่อยไปไหน หรือเรียกว่าตลาด sideway นักลงทุนมักจะอึดอัดกับการวางกลยุทธ์ เพราะเป็นช่วงที่บรรยากาศการลงทุนไม่คึกคัก อาจจะเป็นผลจากนักลงทุนรอผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หรือรอสัญญาณเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ จากนักลงทุนต่างประเทศ
ดังนั้น ช่วงตลาด sideway นักลงทุนจึงเพิ่มความระมัดระวังกับการลงทุนอย่างมาก สังเกตได้จากการเลือกหุ้นที่ปลอดภัยสูงๆ ผ่านการคัดกรองจากอัตราส่วนทางการเงิน เช่น เลือกหุ้น P/E Ratio ต่ำๆ หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีหุ้นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงตลาด sideway เพราะนักลงทุนมองว่าลงทุนแล้วสบายใจ นั่นคือ หุ้นบลูชิพ (Blue Chip Stock) โดยหุ้นประเภทนี้ถูกจัดให้เป็น “หุ้นมั่นคง มีความเสี่ยงต่ำ”
คุณสมบัติเด่นของ “หุ้นบลูชิพ”
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ขนาดใหญ่
เช่น 50,000 ล้านบาท หรือระดับแสนล้านบาท เช่น หุ้น SET50 - มีสภาพคล่องซื้อขายสูง
- ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความมั่นคงด้านการดำเนินธุรกิจ ผลการดำเนินงานเติบโตดีต่อเนื่อง
- ผลิตภัณฑ์ของธุรกิจเป็นที่รู้จัก และเป็นผู้นำทางด้านส่วนแบ่งทางการตลาด มีความสามารถทางการแข่งขันสูง
- ทีมผู้บริหารเป็นมืออาชีพ มีชื่อเสียงและมีความสามารถ
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้…ส่งผลให้หุ้นบลูชิพกลายเป็นขวัญใจนักลงทุนในช่วงตลาด sideway รวมถึงช่วงตลาดผันผวน เพราะสามารถเป็น “เกราะป้องกันพอร์ตลงทุน” หรือ “ลดความเสี่ยงลงได้” เนื่องจากราคาหุ้นประเภทนี้มักจะทนต่อแรงเสียดทานในภาวะตลาดผันผวน หรือถึงแม้ราคาจะปรับลดลงแต่ก็ยังจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
แต่หากพูดถึง “หุ้นบลูชิพ” บางคนอาจมองว่าเป็นหุ้นสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบันในประเทศ เนื่องจากเป็น “หุ้นราคาสูง” เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว ดังนั้น สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยจึงมีค่อนข้างน้อย ซึ่งถ้านักลงทุนรายย่อยมีหุ้นบลูชิพอยู่ในพอร์ตสัก 1 – 2 ตัว โดยเฉพาะในช่วงตลาด sideway หรือตลาดผันผวน ก็น่าจะสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และหากลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสมย่อมเพิ่มโอกาสด้านการทำกำไรจากราคาหุ้น (Capital gain) ในระยะเวลาไม่นานได้
สำหรับการลงทุนหุ้นบลูชิพ นอกจากศึกษาจากบทวิจัย ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ เช่น แรงซื้อ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติหรือนักลงทุนสถาบันในประเทศ นักลงทุนยังใช้ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศที่รวบรวมคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ชั้นนำทั่วโลกประกอบในการตัดสินใจด้วย
ข้อมูลจากสำนักข่าว Financial Time ได้ทำการรวบรวมคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ (Consensus Forecast) เกี่ยวกับหุ้นบลูชิพในตลาดหุ้นไทยว่าหุ้นตัวไหนที่ “ราคาหุ้น” ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก หรือเรียกว่า Outperform (หมายถึง เมื่อซื้อหุ้นก็ประเมินว่าราคาจะปรับขึ้นสูงกว่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนโดยรวมของตลาดหรือสูงกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันในช่วงเวลา 12 เดือน)
ส่วนราคาหุ้นจะปรับขึ้นสูงกว่าเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินของนักวิเคราะห์ เช่น นักวิเคราะห์บางคนอาจจะตีความหมายหุ้น Outperform ว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหรือสูงกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันระหว่าง 0 – 10% บางคนอาจจะตีความว่าอยู่ระหว่าง 10 – 15% เป็นต้น
แม้ว่าหุ้นในตารางด้านล่างมีความน่าสนใจ แต่ไม่สามารถลงทุนได้ทุกตัว ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐานให้ละเอียดถี่ถ้วน เช่น ผลการดำเนินงาน ความสามารถเชิงการแข่งขัน รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เป็นต้น
กด Subscribe รอเลย…