Netflix ขาลง?
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
รู้มั้ยว่า ถ้าใครซื้อหุ้น Netflix 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสิ้นปี 2009 หุ้นเหล่านี้จะมีมูลค่าสูงถึง 460,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเทรดปกติเมื่อวานนี้ (17 ก.ค.) หรือสูงกว่าเดิมถึง 46 เท่าตัว
แต่…ถ้านับรวมช่วงอัฟเตอร์มาร์เก็ตเทรดเข้าไปด้วย มูลค่าก็จะน้อยกว่านั้น เพราะราคาหุ้น Netflix ร่วงหนักประมาณ 12% ในช่วงดังกล่าว
ทำไมหุ้นถึงดิ่งแรงขนาดนี้?
ยอดสมาชิกต่ำกว่าคาด กดหุ้นร่วงหนัก
เหตุผลหลักที่ทำให้ราคาหุ้น Netflix ร่วงอย่างหนัก คือ ในไตรมาสเดือนเม.ย.- มิ.ย. บริษัทมียอดสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก หรือเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 ล้านบัญชี ต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ 5 ล้านบัญชี และน้อยกว่าไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ซึ่งมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 6.1 ล้านบัญชี
รายได้จากค่าสมาชิกรายเดือนมีความสำคัญอย่างมากต่อ Netflix มาก เพราะบริษัทต้องนำไปใช้จ่ายด้านคอนเทนต์และใช้หนี้ที่มีอยู่ แต่ในเมื่อพลาดเป้าหนักขนาดนี้ เห็นหุ้นดิ่งแรงก็ไม่น่าแปลกใจ
ทำไมถึงพลาดหนักขนาดนี้?
ค่าสมาชิกแพงขึ้น คอนเทนต์น้อยลง กระทบยอดสมาชิก
ผู้ให้บริการ video streaming ระดับโลก ได้แจกแจงปมหลักๆ ที่ทำให้ผลงานไตรมาส 2 น่าผิดหวังว่า เกิดจากค่าสมาชิกที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นค่าสมาชิกประมาณ 13-18% ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ Netflix ทำให้ค่าแพ็กเกจยอดนิยมในตลาดสหรัฐอยู่ที่ 13 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ส่งผลให้ชาวอเมริกันบางส่วนเริ่มมองว่า วิดีโอของ Netflix ไม่ได้คุ้มค่าเงินขนาดนั้น จึงตัดสินใจเลิกใช้บริการ ทำให้ยอดสมาชิกในสหรัฐในไตรมาส 2 น้อยกว่าไตรมาสแรกประมาณ 120,000 บัญชี
ขณะเดียวกัน ก็มีคอนเทนต์แบบ original น้อยลงในไตรมาส 2 ประกอบกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเอามากๆ ในไตรมาสแรกอาจบั่นทอนผลประกอบการที่ควรจะเป็นในไตรมาส 2 ซึ่ง Netflix ก็ฝากความหวังไว้กับซีรีย์ Stranger Things ซีซั่นใหม่ ว่าจะช่วยดันยอดการเติบโตในตลาดอินเตอร์ให้ฟื้นคืนกลับมาได้ ก็ต้องช่วยลุ้นกันว่าจะสมหวังหรือไม่
อนาคตแข่งเดือด คู่แข่งเพียบ
แต่อนาคตต่อจากนี้ไปของ Netflix ก็ไม่ง่ายเลย เมื่อพันธมิตรที่เคยป้อนคอนเทนต์ให้ ก็ออกไปสร้างแพลตฟอร์มของตัวเอง กลายเป็นคู่แข่งในสมรภูมิ video streaming โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง รวมทั้งในเร็วๆ นี้ ที่จะต้องสูญเสียซีรีย์สุดฮิตอย่าง “The Office” และ “Friends” ออกไปจากแพลตฟอร์ม แต่กลับต้องเจอกับผู้ให้บริการ video streaming เจ้าใหม่ที่แข็งแกร่ง เช่น Walt Disney, Apple และ WarnerMedia ของ AT&T และ NBCUniversal ของ Comcast Corp
ดังนั้นจากนี้ไป Netflix ก็จะต้องใช้เงินไปกับการผลิตผลงานของตัวเองมากขึ้น เพื่อทดแทนคอนเทนต์จากพันธมิตรที่จะหายไป และต้องเร่งหาสมาชิกใหม่ๆ เพื่อนำรายได้มาทุ่มกับคอนเทนต์ต่างๆ ทั้งซีรีย์และภาพยนตร์ที่ขนเข้ามาให้บริการสมาชิก
นอกจากนี้ การขายโฆษณาอาจช่วยให้ Netflix มีรายได้เพิ่ม แต่ถึงปัจจุบัน ฝ่ายบริหารของบริษัทก็ย้ำจุดยืนว่า จะเดินหน้าให้บริการแบบไม่มีโฆษณาต่อไป แต่บริษัทก็ได้จับมือกับพันธมิตรใช้กลยุทธ์ tie-in สินค้าในซีรีย์แทน เช่น ซีรีย์ Stranger Things ซีซั่น 3 ที่ tie-in Coca-Cola, Nike, Burger King และ Baskin-Robbins ซึ่งบริษัทบอกว่า การโปรโมตสินค้าแบบนี้จะช่วยให้ซีรีย์และสินค้าสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่ากับบรรดาแฟนคลับได้
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแข่งขันที่จะดุเดือดยิ่งขึ้น Netflix ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อราคาหุ้นของบริษัทก็คือ “การเติบโตของยอดสมาชิกทั่วโลก” และ Netflix ก็คาดการณ์ว่า ยอดสมาชิกทั่วโลกจะกลับเด้งกลับมาแน่ๆ ในไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดสมาชิกใหม่ไว้ที่ 7 ล้านบัญชี
ก็ต้องดูกันว่า Netflix จะไปถึงฝันหรือไม่?