×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

6 หุ้น mai พื้นฐานแน่น ลงทุนได้

3,361

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

ถ้าถามว่าจะเลือกซื้อหุ้นประเภทไหน ระหว่างหุ้นขนาดใหญ่ที่ซื้อขายบนกระดานตลาดหลักทรัพย์ (SET) กับหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนส่วนใหญ่คงสนใจซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น เป็นที่นิยม สภาพคล่องสูง มีโอกาสทำกำไรที่ดี ความเสี่ยงไม่สูงนัก ตัวเลือกมีหลากหลาย แต่ความจริงแล้วถ้าค้นหาหุ้นในตลาด mai ได้ถูกตัว ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีไม่ต่างจากหุ้นในตลาด SET

 

เมื่อพูดถึงหุ้นที่ซื้อขายในตลาด mai พบว่ามีเสน่ห์ไม่ต่างไปจากหุ้นในตลาด SET คือ เป็นหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงด้วยเช่นกัน เพราะแนวคิดของหุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาด mai คือ บริษัทขนาดเล็กและกลางที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต พูดง่ายๆ หุ้นในตลาด mai จึงเต็มไปด้วยหุ้นประเภทเติบโต หรือ Growth Stock ซึ่งหมายถึง หุ้นที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นและรวดเร็ว โดยครอบคลุมตั้งแต่การเติบโตของสินทรัพย์ รายได้ และกำไร

 

อย่างไรก็ตาม การประเมินความโดดเด่นของบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai ไม่ต่างไปจากหุ้นที่ซื้อขายในตลาด SET เช่น ความสามารถในการสร้างกำไร โดยมีกำไรสุทธิต่อเนื่อง (ไม่ขาดทุน) มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ที่สำคัญมีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหุ้นขนาดเล็กและกลางก็จะมีความหลากหลายทางธุรกิจ บางครั้งนักลงทุนอาจไม่มีข้อมูลเพียงพอกับธุรกิจนั้นๆ ถ้าข้อมูลไม่เพียงพอก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน แต่ถ้าต้องการลงทุนเพราะเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง อาจใช้กลยุทธ์การลงทุนให้ถูกต้อง เช่น ในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นต้องหลีกเลี่ยงธุรกิจที่มีหนี้สินสูง หรือช่วงตลาดผันผวนสูงควรลงทุนธุรกิจที่มีการเติบโตสม่ำเสมอ หรือเรียกว่า Defensive Stock

 

ดังนั้น ก่อนลงทุนหุ้นขนาดเล็กและกลาง ต้องวิเคราะห์ข้อมูลทุกสิ่งอย่าง เริ่มจากดูภาพใหญ่ สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ อุตสาหกรรมไหนเติบโตดีมีอนาคต จากนั้นค่อยมาเลือกหุ้นว่าตัวไหนได้รับผลกระทบเชิงบวก

 

ถึงแม้จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจ แต่นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะความเสี่ยงที่บริษัทต้องเผชิญตลอดจนแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงจากการมีลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อยราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทหากไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าไว้ได้ ความเสี่ยงจากเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจหรือนโยบายภาครัฐที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของบริษัท เป็นต้น

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats