1O กองทุนหุ้นอินเดีย ผลตอบแทนสูง
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
“ถ้าจะหาตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตระยะยาวเป็น 10 ปี ขึ้นไป นอกจากตลาดหุ้นเวียดนามที่ผมพูดและลงทุนมานานแล้ว ก็คือ ตลาดหุ้นอินเดีย” ประโยคเปิดบทความของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า
วันนี้ Wealth Me Up จึงคัดมาให้แล้ว! 10 กองทุนหุ้นอินเดีย ที่มีผลตอบแทนสูง
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่านับตั้งแต่ปี 2546 ดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย BSE SENSEX ก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับประมาณ 3,200 จุดที่นิ่งมา 5-6 ปี ก็วิ่งขึ้นแบบ “ติดจรวด” ถึงประมาณ 20,000 จุด ในช่วงเวลาประมาณ 4-5 ปีในช่วงปลายปี 2550 ก่อนที่จะร่วงลงมาอย่างแรงในช่วงวิกฤตซับไพรม์ ปี 2551 เหลือประมาณ 9,000 จุด หรือลดลง 55% ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากหุ้นโลกมากนัก และภายในเวลาเพียงปีเดียว ดัชนีก็กลับไปที่เดิม
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นดัชนี BSE SENSEX ก็แทบจะวิ่งขึ้นไปแบบ “ม้วนเดียวจบ” เป็นเวลาต่อเนื่องถึง 15 ปีเต็ม ที่ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นปิดที่ 72,426.64 จุด (16 กุมภาพันธ์ 2567)
เช่นเดียวกับดัชนี NIFTY 50 หลังจากซับไพรม์ (ต้นปี 2552) อยู่ที่จุดต่ำสุดประมาณ 2,620 จุด แต่หลังจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นแบบ “ม้วนเดียวจบ” จนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ 22,040.70 จุด ถ้ารวมเงินปันผลราว 3% ต่อปีก็จะเป็นผลตอบแทนการลงทุนที่ปีละประมาณ 18% เป็นเวลาติดต่อกันถึง 15 ปี นับว่าเป็นผลตอบแทนที่ “ดีสุดยอด” ระดับต้นๆ ของโลก
“ที่ยอดเยี่ยมกว่าตลาดหรือดัชนีอื่นๆ ผมคิดว่ายังอยู่ที่ความสม่ำเสมอของผลตอบแทนที่จะเป็นตัวบอกถึงความเสี่ยงของการลงทุน ก็คือ ผลตอบแทนรายปีของ NIFTY 50 มีความผันผวนน้อยมากและปีที่ติดลบหรือขาดทุนตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบันจำนวน 15 ปีนั้น มีเพียง 2 ปี และปีที่ขาดทุนสูงสุดก็เพียง 24.6% ในปี 2554 ขณะที่อีกปีที่ขาดทุนในปี 2558 ก็ติดลบเพียง 3.8%” ดร.นิเวศน์ กล่าว
สำหรับปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นอินเดียเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก ผู้จัดการกองทุน Nippon India Mutual Fund ให้ข้อมูลว่า อินเดียเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่เติบโตได้มากกว่า 6% โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าขนาดเศรษฐกิจของอินเดียกว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5.9 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2571 โดยระหว่างปี 2566-2571 มีอัตราเติบโต GDP เฉลี่ย 6.3% และจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของโลกภายในปี 2573 ด้วยการแซงเยอรมนีและญี่ปุ่น (ปัจจุบันอยู่อันดับ 5)
ปัจจัยที่เศรษฐกิจอินเดียเติบโตในระดับน่าประทับใจ บลจ.กสิกรไทย ให้ข้อมูลว่ามาจากประชากรวัยแรงงานที่มีสัดส่วนสูงถึง 67% และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ค่าเฉลี่ยอายุของประชากรอยู่ที่เพียง 28 ปี น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 31 ปี และน้อยกว่าสหรัฐอเมริกา จีน และไทย ที่อยู่ช่วง 37-40 ปี ทำให้อินเดียจะได้ประโยชน์จากพลังการบริโภคมหาศาล นอกจากนั้นคนอินเดียส่วนมากเลือกที่จะทำงานในประเทศหรือตั้งธุรกิจมากกว่าที่จะย้ายประเทศ ทำให้ประเทศยังคงมีคนเก่งๆ อีกมากที่จะมาช่วยขับเคลื่อนประเทศในอนาคต รัฐบาลมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในระยะข้างหน้า โดยล่าสุดแม้รัฐบาลจะประกาศการขาดดุลคลังน้อยลงในปีงบประมาณหน้า (เมษายน 2567–มีนาคม 2568) แต่การลงทุนภาครัฐยังเติบโตได้ประมาณ 11%
ผู้จัดการกองทุน Nippon India Mutual Fund ให้ข้อมูลเสริมว่านอกเหนือจากเหตุผลด้านประชากรแล้ว คือ ภาวะหนี้สินทั้งด้านบุคคลและธุรกิจยังอยู่ในระดับต่ำ โดยหนี้ภาคครัวเรือนมีระดับเพียง 20% ของ GDP เช่นเดียวกับหนี้ภาคธุรกิจมีเพียง 51-52% ของ GDP และไม่ได้มีแนวโน้มเติบโตมาตั้งแต่ปี 2551 และระดับนี้เป็นแค่ครึ่งเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับระดับหนี้ต่อ GDP ของทั้งโลก ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้วว่าหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำมาก นำมาสู่โอกาสทั้งเรื่องของการลงทุน การออม และพัฒนาเศรษฐกิจได้อีกมาก
ด้วยปัจจัยดังกล่าว ผู้จัดการการลงทุน Kotak Mahindra Asset Management มองว่าอินเดียเป็นโอกาสลงทุนระยะยาวที่มาพร้อมกับการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยการลงทุน “หุ้นอินเดีย” เป็นการเล่นเกมระยะยาว และด้วยราคาหุ้นน่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากหรือทรงตัวในปี 2567 จึงแนะนักลงทุนคว้าโอกาสนี้ไว้ “ปรับพอร์ต มีหุ้นอินเดียมาเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะกลางถึงยาว”
สำหรับธีมการลงทุนระยะสั้น เช่น การเงิน ค้าปลีก ท่องเที่ยว การผลิตจากรายได้ต่อหัวประชากรที่ปรับเพิ่มขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนระยะกลางถึงยาวจากปัจจัยหนุน เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน ระบบรางรถไฟ ถนน) เพื่อเชื่อมต่อระบบเมือง การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเข้าสู่ตลาดอีวีมากขึ้น และจะมีการลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในพลังงานทางเลือกและหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ ทดแทนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ
หากนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นอินเดีย แต่ยังกังวลกับการเข้าซื้อหุ้นอินเดียโดยตรง ก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนหุ้นอินเดียได้ (ปัจจุบันมีกองทุนหุ้นอินเดียจำนวน 30 กองทุน)