5 หุ้นพื้นฐานดี P/E Ratio ต่ำ
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
รอบ 1 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 1,740 จุด แต่เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยหลุด 1,300 จุด ก่อนมาทรงตัวที่ประมาณ 1,000 จุดกว่าๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ หากนักลงทุนเริ่มลดพอร์ตหุ้นตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ไม่เจ็บตัว แต่จนถึงวันนี้หากไม่ใช้กลยุทธ์ Cut Loss พอร์ตคงแดงเกือบทุกตัว
แต่ทุกวิกฤติ มีโอกาสเสมอ ยุคนี้ หุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวคือ “หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และราคาหุ้นปรับลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน”
วิธีการคัดกรองหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี เริ่มจากบริษัทต้องมีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญต้องเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตต่อไปได้ โดยสามารถดูได้จากบทวิเคราะห์ที่นักวิเคราะห์ได้ประเมินการดำเนินธุรกิจว่ายังคงขยายตัวได้ และแนะนำให้ “ซื้อ”
ถัดมาให้ดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E Ratio เพราะหากพูดถึงการคัดหุ้นเข้าพอร์ตของนักลงทุนระยะยาว ปัจจัยหนึ่งคือพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงิน โดยเฉพาะ P/E Ratio ซึ่งเป็นตัวบอกว่านักลงทุนพอใจจะจ่ายเงินเป็นกี่เท่าของผลกำไรของบริษัทเพื่อซื้อหุ้นนั้นมา และคาดหวังกระแสของกำไรที่จะได้มาอย่างต่อเนื่องในอนาคต
P/E Ratio ใช้แสดงถึงความถูกหรือความแพงของหุ้นในเชิงเปรียบเทียบ นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าการลงทุนหุ้นที่มีค่า P/E Ratio ต่ำ น่าจะมีโอกาสสร้างผลกำไรสูงกว่าการลงทุนในหุ้นที่มี P/E Ratio สูง
จากการศึกษาพบว่าการลงทุนหุ้นในระยะยาว หุ้นที่มี P/E Ratio ต่ำ จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการลงทุนใน P/E Ratio สูง
การตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น นักลงทุนต้องศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในระดับมหภาค ข้อมูลในระดับอุตสาหกรรม และข้อมูลของบริษัท แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประกอบในการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัท ซึ่งบริษัทที่มีฐานะทางการเงินและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีอาจไม่ใช่บริษัทที่น่าลงทุนเสมอไป ขึ้นอยู่กับราคาหุ้นที่ผู้ลงทุนจะเข้าไปลงทุนในแต่ละขณะด้วยว่ามีความเหมาะสมและคุ้มค่าต่อเงินลงทุนเพียงใด