รับมือ 4 รูปแบบโลกทำงานในอนาคต
ต้องยอมรับว่า ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และระบบอัตโนมัติ (Automation) จะส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจและรูปแบบการทำงานของมนุษย์ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะยังไม่สามารถทดแทนแรงงานมนุษย์ได้เต็มร้อย แต่หากแรงงานไม่ตระหนักและตื่นตัวมากพอ ก็อาจถูกหุ่นยนต์เข้ามาแย่งงานได้
PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Workforce of the future: the competing forces shaping 2030 ที่สำรวจประชากร 10,000 คนในสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พบว่าแนวโน้มของรูปแบบการทำงานในปี 2030 จะเปลี่ยนแปลงไป โดยมีความซับซ้อนและแข่งขันกันเข้มข้นมากขึ้น ขณะที่การกำกับดูแลและกฎระเบียบต่างๆ ของภาครัฐ จะถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะนำมาบังคับใช้กับภาคธุรกิจ สังคม และแรงงานมนุษย์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในสถานที่ทำงาน
รายงานของ PwC แบ่งลักษณะของโลกการทำงานในปี 2030 ออกเป็น 4 รูปแบบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของโลกการทำงานที่อาจเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า เป็นผลมาจากอิทธิพลของเมกะเทรนด์ เอไอ ระบบอัตโนมัติ และการเรียนรู้ของเครื่องจักรกล (Machine learning) รวมถึงตั้งคำถามด้วยว่า แรงงานจะสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ รวมทั้งเทคโนโลยีจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของแต่ละภาคส่วนอย่างไร ดังนี้
1.โลกสีเหลือง (The Yellow World) | จรรยาบรรณนำเงินทุน
เป็นโลกที่มนุษย์มาเป็นอันดับแรก (Humans come first) โดยความสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้า ขณะที่เรื่องของจรรยาบรรณ (Ethics) และความน่าเชื่อถือจะนำหน้ากระแสเงินทุน ภาคสังคมจะมีความเป็นเอกภาพและมีความสัมพันธ์กัน ในขณะที่นักคิดค้น นักประดิษฐ์ และกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ๆ ที่มีเป้าหมายและทักษะจะประสบความสำเร็จโดยมีเทคโนโลยีเป็นทั้งตัวช่วยและความท้าทาย
2.โลกสีแดง (The Red World) | โลกแห่งนวัตกรรม
คือโลกที่เป็นแหล่งฟูมฟักนวัตกรรมใหม่ๆ (Innovation rules) โดยรูปแบบในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่หน่วยงานกำกับดูแลจะสามารถควบคุมได้ ทำให้เป็นโลกที่การดำเนินธุรกิจเต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่มนุษย์และนวัตกรรมจะอยู่อย่างแยกขาดกันไม่ได้ ในขณะที่เทคโนโลยีอาจกระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่มใหม่ๆ ทำให้สังคมเชื่อมต่อกันอย่างไร้ขีดจำกัด ภาคธุรกิจในโลกสีแดงจะแข่งกันคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ที่มีเอกลักษณ์ตลอดเวลา เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย เรียกว่าเป็นโลกที่ทุกอย่างก้าวไปอย่างรวดเร็วแต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงรอบด้าน
3.โลกสีเขียว (The Green World) | ความยั่งยืน ขับเคลื่อนธุรกิจ
เป็นโลกที่ภาคธุรกิจดูแลเอาใจใส่ (Companies care) และให้ความสำคัญกับหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม โดยเป้าหมายสำคัญขององค์กร คือการสร้างความไว้วางใจต่อสังคม เป็นโลกที่คนต้องการทำงานกับองค์กรที่ตนมีความเชื่อ วัฒนธรรมองค์กร และค่านิยมที่ตรงกัน ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืนจะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจ
4.โลกสีน้ำเงิน (The Blue World) | เน้นสร้างอาณาจักร
เป็นโลกที่ระบบทุนนิยม คือ “พระเจ้า” (Corporate is king) โดยบริษัทต่างๆ จะให้ความสำคัญกับการสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ให้กับองค์กรของตนเอง โดยเชื่อว่าจะเป็นหนทางสู่การสร้างผลกำไรที่เหนือคู่แข่งทั้งเก่าและใหม่ ถือเป็นโลกที่ “ขนาด” มีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจในทุกๆ ด้าน ในขณะที่ทาเลนต์ที่มากความสามารถจะเป็นที่ต้องการสูงของนายจ้างและจะได้รับผลตอบแทนสูงเช่นกัน ควบคู่ไปกับระบบอัตโนมัติและเอไอที่จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ
แม้จะไม่มีใครสามารถรู้แน่ชัดได้ว่าโลกในการทำงานในปี 2030 จะเป็นอย่างไร แต่ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เอไอกับการเรียนรู้ของเครื่องจักรกล จะช่วยให้เราสามารถวางแผนเรื่องกำลังคนได้ดียิ่งขึ้น โดยองค์กรและพนักงานที่เข้าใจตรงจุดนี้ควรรีบเตรียมรับมือและวางแผนอนาคตไว้ล่วงหน้าเพื่อเดินไปสู่ความสำเร็จตั้งแต่เนิ่นๆ
กด Subscribe รอเลย…