รู้ไงว่าควร “ออมเงิน” หรือ “ลงทุน” ?
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
มีหลายคนมั่นใจว่า เพียงแค่ “ออมเงิน” ก็จะมีเงินพอใช้หลังวัยเกษียณ แต่พอถึงวันนั้นจริงๆ ดอกผลของการออมเงินกลับเพิ่มขึ้นนิดเดียว มีเงินใช้แต่ไม่พอ ดังนั้นหากต้องการมีเงินใช้ยามแก่เฒ่า ต้องนำไป “ลงทุน”
แสดงว่า “ออมเงิน” และ “ลงทุน” มีความแตกต่างกันแน่ๆ มาดูกันว่าต่างกันตรงไหนบ้าง
ออมเงิน
1.เป้าหมายระยะสั้น
การออมเงิน เป็นเรื่องของเป้าหมายในระยะเวลาอันใกล้ และเงินที่นำไปออมก็ไม่ได้เยอะ เช่น ออมเงินเพื่อซื้อจักรยาน 1 คัน ซื้อรองเท้าวิ่ง 1 คู่ หรือซื้อตู้เย็น เป็นต้น
2.เงินต้นห้ามหาย
หมายความว่า เงินที่นำไปเก็บออมต้องมีความเสี่ยงต่ำมาก ดังนั้นจึงมักออมไว้กับบัญชีเงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนย่อมต่ำตามไปด้วย หรือประมาณ 1 – 2% ต่อปี
3.ถ้าอยากซื้อรถ
มีคำถามคลุมเครือว่า อยากซื้อรถ ควรออมเงินหรือนำไปลงทุน คำตอบคือ นำไปเก็บออม
ถ้าไม่ได้ซื้อรถด้วยเงินสด แสดงว่าต้องผ่อน หมายความว่า ต้องมีเงินดาวน์ ซึ่งเป็นเงินก้อนที่ไม่ได้สูงนัก ดังนั้น การออมเงินเพื่อมีเงินไปดาวน์รถน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะที่สุด
เช่นเดียวกับการเก็บเงินไปเที่ยวสักทริป การออมเงินเดือนละพันบาทต้นๆ กับกองทุนรวมตลาดเงินเป็นทางออกที่ดี ผ่านไปสัก 1 ปี อาจไปเที่ยวเกาะสมุย หรือเชียงใหม่ ได้ชิลชิลสักสัปดาห์
ลงทุน
1.เป้าหมายระยะยาว
หลักของการลงทุน คือ เก็บเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น เพื่อวัยเกษียณ เพื่อส่งลูกเรียน
2.ลงทุนน้อยแต่สม่ำเสมอ
วิธีที่ดีสำหรับการลงทุน คือ ทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือเรียกว่า Dollar Cost Averaging (DCA) เช่น ลงทุนเดือนละ 2,000 บาท ต่อเนื่องเป็นเวลา 15 ปี (180 เดือน) ถ้าได้ผลตอบแทน 6% ต่อปี จะมีเงินทั้งสิ้น 581,637 บาท
3.เสี่ยงสูงได้
เมื่อลงทุนต่อเนื่องและต้องการสร้างผลตอบแทนระยะยาว จึงสามารถลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงได้ ดังนั้น กองทุนรวมหุ้น ตลาดหุ้น ทองคำ หรือแม้แต่ไปลงทุนต่างประเทศ จะตอบโจทย์ได้ดี
ดังนั้น ก่อนจะเก็บเงินควรถามตัวเองก่อนว่า “เพื่ออะไร” เพราะถ้าวางเงินให้ถูกที่ ถูกทาง ถูกเวลา ย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดีและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้