1O หุ้นน่าลงทุนสไตล์ Hybrid Investment
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
ว่ากันว่า ถ้าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ราคาหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปไม่สูงมากนัก มักจะดีดตัวขึ้นได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ คำถามตามมา คือ จะเลือกหุ้นมาร์เก็ตแคปไม่สูงมากนักอย่างไร เพื่อให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าประทับใจ
หากต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตหุ้น หรือมีโอกาสสร้างผลตอบแทนประทับในช่วงวิกฤติ กลยุทธ์การเลือกหุ้นต้องเรียบง่าย
โดยกลยุทธ์การลงทุนเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพที่ได้รับความนิยม คือ Tiny Titan ที่ถูกคิดค้นจาก James O’Shaughnessy ประธานและผู้บริหารสูงสุดด้านการลงทุนของบริษัท O’Shaughnessy Asset Management (OSAM)
กลยุทธ์การเลือกหุ้นแบบ Tiny Titan จะเน้นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก มีมาร์เก็ตแคปไม่สูงมากนัก ด้วยการคัดกรองในเชิงคุณค่า (Value) และแนวโน้มของราคาเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน (Momentum) จึงถูกขนานนามว่าเป็นสไตล์การลงทุนแบบผสมผสาน หรือ Hybrid Investment
โดยเงื่อนไขที่นำมาคัดกรองหุ้น ได้แก่
- มาร์เก็ตแคป ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท
- P/S Ratio ไม่เกิน 2 เท่า หากหุ้นนั้นมีค่า P/S Ratio ต่ำ หมายความว่าเป็นหุ้นที่มีราคาถูก (Undervalue) ตรงกันข้ามหากหุ้นนั้นมีค่า P/S Ratio สูง หมายความว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพง (Overvalue) เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน หมายความว่าหุ้นที่มีราคาหุ้นต่อยอดขายต่ำจะให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นที่มีราคาหุ้นต่อยอดขายสูง
- กำไรสุทธิต่อหุ้น 3 ปีย้อนหลังต้องเป็นบวกตลอด
- ยอดขายต้องเติบโตต่อเนื่อง 1 ปีขึ้นไป
- อัตรากำไรสุทธิมากกว่า 10%
- หุ้นที่มี Relative Strength ในรอบ 12 เดือนเป็นบวก เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม หมายความว่าราคาหุ้นต้องปรับขึ้นเร็วกว่าดัชนีหุ้นไทย
การเลือกหุ้นแบบ Tiny Titan เป็นการมองจากภาพใหญ่ เช่น เศรษฐกิจโลก หรือเศรษฐกิจในประเทศไทยว่ามีผลกระทบกับหุ้นตัวไหนบ้าง จากนั้นก็วิเคราะห์ความแข็งแกร่งด้านการเจริญเติบโตของหุ้นรายตัว วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อราคาหุ้น เช่น งบการเงิน ผู้บริหาร คู่แข่ง
จากนั้นก็ค้นหาหุ้นที่มีผลประกอบการณ์มั่นคง สามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ค่อนข้างแน่นอน และสุดท้ายก็ประเมินหุ้นที่มีราคาปรับตัวลดลงมากกว่าราคาที่เหมาะสม หากวิเคราะห์ถูกหุ้นราคาก็ปรับตัวสูงขึ้นมา
การเลือกหุ้นแบบ Tiny Titan พบว่าสามารถลงทุนได้ทั้งในระยะสั้น เพื่อเป้าหมายการทำกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับขึ้น (Capital gain) และในระยะยาวเพื่อรับเงินปันผล (Dividend)