เพิ่มโอกาสกระจายการลงทุน ในหุ้นกลุ่ม TECH และ HEALTHCARE ระดับโลก กับ S&P5OO DW41
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
ท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมไปถึงปัจจัยความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทำให้นักลงทุนต่างมองหาโอกาสในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
การเปิดตัวใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ DW41 ที่อ้างอิงกับดัชนี S&P500 ของบริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน ประเทศไทย (J.P. Morgan) หรือ SPX41 นับเป็นอีกทางเลือกให้นักลงทุนได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเพิ่มโอกาสทำกำไรจากหุ้นกลุ่ม Technology และ Healthcare ที่มีความโดดเด่นระดับโลกอีกด้วย
ทำไมต้องเป็น DW41 ที่อ้างอิงดัชนี S&P500?
คุณทศพล เกิดผล ผู้อำนวยการฝ่าย Listed Structured Products บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) ชี้ให้เห็นถึงความน่าสนใจของดัชนี S&P500 ว่าเป็นหนึ่งในดัชนีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดดัชนีหนึ่งของโลก ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ 500 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม Technology และ Healthcare ที่หลายคนคุ้นหูอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Facebook, Apple, Amazon, Alphabet และ Johnson & Johnson คิดเป็นสัดส่วนที่อยู่ในกลุ่ม Technology และ Healthcare สูงถึง 26% และ 15% ตามลำดับ ในขณะที่ SET Index เน้นไปที่กลุ่มธุรกิจพลังงานเป็นหลัก
ยิ่งไปกว่านั้น หากมองในแง่ของผลตอบแทนในช่วงเดือน ก.ย. 63 ดัชนี S&P500 มีเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของราคามากกว่า SET50 เกือบ 2 เท่า และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกาที่ไม่แน่นอน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนทำกำไรได้ทั้งในจังหวะขาขึ้นและจังหวะขาลง กับผลิตภัณฑ์ SPX41 ทั้ง Call และ Put DW ที่ทางเจพีมอร์แกนเสนอขาย
S&P500 โอกาสการลงทุนที่น่าหอมหวาน?
บนเวทีเสวนา S&P500 WHERE ARE WE NOW? กูรูในแวดวงตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นคุณเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด, ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด, คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด และคุณเอนิส ตียาสิริ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการกองทุนและผู้ลงทุนสถาบันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ J.P.MORGAN ASSET MANAGEMENT ต่างร่วมแชร์มุมมองไปในทิศทางที่ค่อนข้างสอดคล้องกันว่า ภาพรวมของดัชนี S&P500 ในระยะสั้นมีความผันผวนจากหลายปัจจัยที่เข้ามากดดัน ขณะที่การปรับตัวของดัชนีที่ร่วงลงแรงในรอบนี้ เป็นเพียงการปรับฐานเท่านั้นไม่ใช่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market
ส่วนในระยะกลางและยาวการเคลื่อนไหวของดัชนี S&P500 เป็นขาขึ้นแน่นอน เพราะต้องยอมรับว่า S&P500 มีหุ้นที่มีโมเมนตัมดี ๆ อยู่มากมาย ที่สำคัญหุ้นส่วนใหญ่โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Technology และ Healthcare ก็สามารถรับมือกับวิกฤตต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อาจเรียกได้ว่าเป็น Safe Heaven ของการลงทุนในช่วงที่เกิดวิกฤตเลยก็ว่าได้
สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนี S&P500 จะทะยานต่อหรือย่อลงแค่ไหน มีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาดังนี้
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน กับนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตผู้ท้าชิง ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีนโยบายหาเสียงที่ค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายภาษี อย่าง Corporate Tax และ Capital Gain Tax มีการประเมินว่าหากไบเดนชนะศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐได้ เพราะนโยบายภาษีที่ไม่เอื้อนั่นเอง ขณะเดียวกันหากทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ คาดว่าดัชนี S&P500 จะมี Upside ในสิ้นปีนี้และปีหน้ามากกว่ากรณีที่ไบเดนชนะ
- ความคาดหวังต่อการผลิตวัคซีน COVID-19
หากสามารถนำมาใช้ได้จริงในปีหน้าและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งในอเมริกาหรือทั่วโลกได้ เรื่องนี้จะเป็นตัวช่วยให้รายได้ของหุ้นที่มี Value ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากหุ้นในกลุ่ม Technology และ Healthcare ปรับตัวขึ้นมาได้ ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนี S&P500 ทะยานต่อได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การฟื้นตัวของภาคธุรกิจ
โดยมองว่าอัตรากำไรต่อหุ้น หรือ Earnings Per Share ของบริษัทในดัชนี S&P500 จะเป็นเพียงไม่กี่ดัชนีในตลาดหุ้นทั่วโลกที่สามารถกลับมาทำนิวไฮได้ในปีหน้าหลังฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19 โดยเฉพาะบรรดาบริษัทชั้นนำในกลุ่ม Technology จะกลายเป็นแหล่งระดมเงินขนาดใหญ่จากเม็ดเงินลงทุนทั่วทุกมุมโลกที่ไหลเข้ามา
- โอกาสเกิด TECH Bubble
แม้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐจะสร้างปรากฏการณ์พุ่งขึ้น อย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่หากมองในแง่ปัจจัยพื้นฐานแล้ว หุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีการเติบโตของรายได้จริง และมีการทำกำไรเกิดขึ้นจริง ขณะเดียวกันอัตราการทำกำไรของหุ้นกลุ่มนี้ยังสูงที่สุดในรอบ 50 ปีด้วยซ้ำแม้ว่าหุ้นทั่วโลกจะดิ่งหนักเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
น่าสนใจไม่น้อยสำหรับการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนใน DW41 ที่อ้างอิงดัชนี S&P500 แต่หลายคนอาจกังวลเกี่ยวกับการเทรด เพราะตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นอเมริกาเปิดทำการซื้อขายไม่ตรงกัน!!
ไม่ต้องห่วงตลาดหุ้นไทยเปิด ตลาดหุ้นอเมริกาปิด
เพราะการเคลื่อนไหวของราคา SPX41 จะอิงกับความเคลื่อนไหวของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า E-Mini S&P 500 ที่ซื้อขายในตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีช่วงเวลาซื้อขายในแต่ละวันมากกว่า 20 ชั่วโมง และช่วงการซื้อขายดังกล่าวก็ตรงกับเวลาซื้อ-ขายของตลาดหุ้นไทยด้วย
ปัจจุบันนักลงทุนสามารถตรวจสอบราคาของ E-mini S&P500 Futures ได้จาก https://www.cmegroup.com/trading/equity-index/us-index/e-mini-sandp500.html หรือสามารถใช้ดูกราฟราคาแบบ Real time ได้จาก Application Trading View (ticker ESZ2020) หรือ website Investing.com (ticker US500)SPX41
อยากเทรด S&P500 บน DW41 ต้องทำอย่างไร ?
ง่ายนิดเดียว…เพียงแค่ใช้บัญชีหุ้นที่นักลงทุนมีอยู่ ก็สามารถซื้อขายได้เลยทุกสภาวะตลาด โดยพิมพ์ SPX41C สำหรับมองดัชนีขาขึ้น หรือพิมพ์ SPX41P สำหรับมองดัชนีขาลง ส่วนการดูแลสภาพคล่อง ทางเจพี มอร์แกนเป็นผู้นำตลาดด้วยระบบดูแลสภาพคล่องชั้นเยี่ยม ซึ่งจะช่วยให้การเทรด DW41 ของนักลงทุนเป็นเรื่องง่าย พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบตารางราคาได้ที่ jpmorgandw41.com
เจพี มอร์แกน นับเป็นสถาบันทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ด้วยสินทรัพย์กว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และที่สำคัญเจพีมอร์แกนยังเป็นผู้ออก DW ที่มียอดขายสูงสุดในฮ่องกง ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นระยะเวลา 7 ปีติดต่อกัน* และล่าสุดยังเป็นผู้ออก DW41 บนดัชนี S&P500 เจ้าแรกของประเทศไทย เริ่มเสนอขายวันแรกในวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยนำประสบการณ์การออก DW บนดัชนี S&P500 และ NASDAQ เจ้าแรกในฮ่องกงมาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักลงทุนไทย
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เนื้อหาและข้อมูลข้างต้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลและไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเท่านั้น และไม่มีเจตนาที่จะให้มีลักษณะเป็นการเสนอ เชื้อเชิญ ชักจูง แนะนำ ให้คำแนะนำ หรือเชิญชวนให้มีการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินใด (รวมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิหรือผลิตภัณฑ์อื่นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย)
หมายเหตุ: *จากข้อมูลมูลค่ายอดขายสุทธิ (Net Sold Notional) ตั้งแต่ปี 2556 – 2562 ข้อมูลจาก Bloomberg และ HKEX