11 หุ้น ลงทุนธุรกิจ Cryptocurrency
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
นับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาสกุลเงินดิจิทัลหลายสกุลปรับขึ้นแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะบิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลเหรียญแรกของโลกและมีมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุดในโลก ที่ดูเหมือนว่าราคาจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยล่าสุด (10 สิงหาคม 2564) อยู่ที่ 45,600 เหรียญสหรัฐ ปรับขึ้นราว 10% นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม และทำจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือน และหากดูปัจจัยทางเทคนิคด้วยเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) เส้น 200 วัน (EMA 200 ซึ่งเป็นเส้นที่แสดงถึงราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ที่สามารถช่วยบอกแนวโน้มหลักทั้งในอดีตและการมองภาพในอนาคต) พบว่าราคายืนเหนือ EMA 200 วัน แสดงว่าราคามีแนวโน้มเป็นขาขึ้น
หากดูปัจจัยพื้นฐานประกอบ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าปัจจัยที่หนุนราคาสกุลเงินดิจิทัลปรับขึ้น มาจากการได้การยอมรับให้เป็นสื่อการชำระสินค้ามากขึ้น เช่น Tesla บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอันดับต้น ๆ ของโลกจะกลับมาเปิดรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์อีกครั้ง หรือ Amazon เว็บไซต์ขายของออนไลน์เบอร์หนึ่งของโลกอาจเปิดรับบิตคอยน์ให้เป็นช่องทางในการชำระเงินภายในสิ้นปีนี้ และที่สำคัญ สำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกา อาจอนุมัติกองทุน ETF ที่จะอ้างอิงจากราคาของบิตคอยน์ (Bitcoin ETF) เพื่อให้มีการซื้อขายได้เหมือนหุ้นทั่ว ๆ ไป
จากสถานการณ์สกุลเงินดิจิทัลที่เป็นไปในเชิงบวก ทำให้ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าราคาสกุลเงินดิจิทัลที่ปรับขึ้นในรอบนี้จะสร้างผลบวกต่อบริษัทจด ทะเบียนในไทยที่ประกอบธุรกิจสกุลเงินดิจิทัลด้วย
ปัจจุบันมีหุ้นไทยประกอบธุรกิจ 4 ประเภท
ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลโดยตรง
เช่น BROOK ซึ่งผลประกอบการจะขึ้นหรือลง ได้ประโยชนหรือเสียประโยชน์จากแนวโน้มราคาเหรียญสกุลเงิน
ลงทุนขุดบิตคอยน์ (BITCOIN Mining)
เช่น JTS โดยต้นทุน คือ ค่าไฟ, อุปกรณ์ และการ์ดจอในขุด เป็นต้น ส่วนรายได้ คือ เหรียญสกุลเงินดิจิทัล เช่น บิตคอยน์ที่ได้จากการเข้าไปแข่งกันถอดรหัส ดังนั้น ถ้าแนวโน้มราคาบิตคอยน์ปรับขึ้น ต้นทุนเท่าเดิม จำนวนเหรียญที่ขุดได้เท่าเดิม แต่มูลค่าเหรียญที่ขุดได้จะเพิ่มจะทำให้บริษัทได้กำไร
ลงทุนรับสกุลเงินดิจิทัล หรือโทเคน (Tokens)
เพื่อใช้ซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น SIRI, ANAN, SORI, ASW และ MAJOR
บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal)
ทำหน้าที่คล้ายที่ปรึกษาทางการเงินในการตรวจสอบข้อมูลการออก ICO ของบริษัทที่เสนอขายโทเคน (Due diligence) และเก็บรักษาทรัพย์สินของนักลงทุน เช่น KBANK (จัดตั้งบริษัท คิวบิกซ์ ดิจิทัล แอสเซท จำกัด โดยธนาคารถือหุ้น 100%), SCB , XPG, JTS
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าแนวโน้มราคาสกุลเงินดิจิทัลดูเหมือนว่าในระยะปานกลางถึงระยะยาวจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น ส่วนในช่วงระยะสั้นแนะนำว่าราคาที่ปรับขึ้น มีโอกาสทำกำไรได้ตามกระแส ในกลุ่มธุรกิจลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลโดยตรงและลงทุนขุดบิตคอยน์ ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรง ส่วนกลุ่มธุรกิจลงทุนรับสกุลเงินดิจิทัล หรือโทเคน และ บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลจะได้เพียงกระแสเชิงบวกเท่านั้น
ถ้าประเมินจากจากค่าความสัมพันธ์ของราคาบิตคอยน์และการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นก็จะไปในทิศทางเดียวกัน ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส จึงแนะนำเก็งกำไรและลงทุนด้วยความระมัดระวัง