12 กองทุนเวียดนามน่าจับตา
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
ปี 2564 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 30% ขณะที่หลังจากความตึงเครียดรัสเซียกับยูเครนก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่น ๆ โดยผลตอบแทนโดยรวมตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม – 20 มีนาคม 2565 ติดลบ 1.37% แต่หากดูผลตอบแทนโดยรวมย้อนหลัง 1 ปี ตั้งแต่ 22 มีนาคม 2564 – 20 มีนาคม 2565 ทำได้ 25.10% คำถามคือ กองทุนรวมไทยที่ไปลงทุนในหุ้นเวียดนาม เป็นอย่างไร
K Wealth Guru ธนาคารกสิกรไทย ตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยเริ่มให้ความสนใจตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระจายการลงทุนในหุ้นโดยตรงหรือลงทุนผ่านกองทุนรวม แต่หลังจากตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในปี 2564 ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มสงสัยว่าปี 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามจะยังคงสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าสนใจอีกหรือไม่
ปัจจัยที่จะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามยังน่าสนใจ นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) อธิบายว่าปัจจัยสำคัญ คือ เศรษฐกิจเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตสูง จากการลงทุนและการบริโภคขยายตัวแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2565 และ 2566 ที่ระดับ 8.0% และ 6.8% ตามลำดับ บวกกับเป็นประเทศที่มีการเติบโตด้านการส่งออกที่ดี ทำให้ได้รับประโยชน์โดยตรงตามการฟื้นตัวของคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน
ด้าน K Wealth Guru ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าข่าวดีที่น่าจับตามอง คือ การย้ายฐานการผลิตมาเวียดนามของโรงงานในจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จากประเด็นข้อพิพาทสงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน ทำให้ปีที่ผ่านมาตัวเลขการลงทุนโดยตรง (FDI) สะท้อนการลงทุนจากต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนที่ระดับ 5.1% โดยเหตุผลที่นักลงทุนต่างประเทศเลือกเวียดนาม เนื่องจากรัฐบาลมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประชากรส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน ค่าแรงอยู่ในระดับต่ำ และค่าเงินของเวียดนามเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ขณะเดียวกัน เวียดนามกำลังปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุน ภาษี เพื่อยกระดับตลาดหุ้นเวียดนามสู่ Emerging Market ดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น และให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของนานาชาติด้วย
ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการเงินเป็นสัดส่วนหลัก ดังนั้นจึงเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยตรง ขณะเดียวกัน K Wealth Guru ธนาคารกสิกรไทย ประเมิน Forward P/E Ratio ระดับ 13.7 เท่า และ Earning Yield Gap ระดับ 5.1% สะท้อนว่าหุ้นเวียดนามยังไม่แพงมากจนเกินไป ยังมีความน่าสนใจ และมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากอัตราการเติบโตของกำไร (EPS Growth) ระดับ 24% ปีนี้ ถึงแม้อาจไม่ได้เติบโตร้อนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมาแต่ยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่กำลังสนใจไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม อาจเริ่มจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนหุ้นเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 12 กองทุน แบ่งเป็น 6 กองทุนที่เปิดขายมาเกิน 1 ปี และ 6 กองทุนที่เพิ่งเปิดขายเมื่อเร็ว ๆ นี้