7 ความเสี่ยงสำคัญ “หลังเกษียณ”
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
หลายคนประสบความสำเร็จในการเก็บเงิน แต่กลับล้มเหลวในการวางแผนชีวิตหลังเกษียณ เพราะลืมบริหารความเสี่ยงสำคัญที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ดังนั้น ควรทำความเข้าใจและหาทางป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงเหล่านั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างราบรื่น เป็นไปตามแผน และมีความสุข
คำถาม คือ ความเสี่ยงหลังเกษียณมีอะไรบ้าง? ในประเทศไทยมีพูดถึงเรื่องนี้บ้าง แต่อาจจะยังไม่ครอบคลุมมากเพียงพอ จากการอ่านบทความ งานวิจัย ของสหรัฐอเมริกา พบว่า มีหลายสำนักในสหรัฐฯ ที่มีการพูดถึงความเสี่ยงหลังเกษียณ
The American College of Financial Services วิทยาลัยการฝึกอบรมวิชาชีพสำหรับผู้ปฏิบัติงานการเงิน สหรัฐอเมริกา มีหลักสูตรเฉพาะสำหรับการวางแผนเกษียณชื่อ Retirement Income Certified Professional® (RICP®) designation program for financial advisors ได้แบ่งกลุ่มความเสี่ยงหลังเกษียณออกเป็น 6 กลุ่ม 18 รายการ แต่จากข้อมูลพบว่า ความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตหลังเกษียณของคนไทย มีดังนี้
การมีอายุยืน
เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด อาจเรียกว่าเป็น Risk multiplier คือเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ความเสี่ยงข้ออื่น ๆ เพิ่มสูงยิ่งขึ้นด้วย ลองคิดดูว่าหากอายุสั้น เช่น มีชีวิตอยู่ได้เพียง 1 – 2 ปีหลังจากเกษียณ และถึงแม้ตลาดหุ้นจะเป็นขาลงยาวนานแค่ไหน หรืออัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก ก็ไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตเพราะอายุสั้น ตรงกันข้ามถ้ามีอายุยืนยาวจะส่งผลกระทบอย่างมาก
อัตราเงินเฟ้อ
เป็นความเสี่ยงที่พูดถึงทั่วไปในประเทศไทย คงไม่ต้องลงรายละเอียดว่าคืออะไร ส่งผลต่อชีวิตหลังเกษียณอย่างไร แต่ขอฝากไว้เพียงว่าการวางแผนเกษียณที่ไม่ได้คำนึงถึง “เงินเฟ้อ” ถือว่าไม่ใช่แผนเกษียณที่เหมาะสมที่ควรจะเป็น พึงระลึกไว้ทุกครั้งที่คิดเรื่องการวางแผนเกษียณว่าต้องคิดเรื่อง “ผลกระทบจากเงินเฟ้อ” ด้วย
การถอนเงินมากเกินไป
ความเสี่ยงจากการถอนเงินออกมาใช้มากเกินไป จนส่งผลให้เงินเก็บเพื่อเกษียณหมดลงก่อนเวลาอันควร หรืออาจจะเรียกว่า “เงินหมดก่อนตาย” ก็ได้ ในสหรัฐอเมริกามีคำที่เรียกว่า Safe Withdrawal Rate หมายถึง อัตราการถอนเงินที่ปลอดภัยที่จะทำให้เงินสามารถสร้างรายได้ให้ได้นานเท่าที่ต้องการ เป็นเรื่องที่มีการศึกษากันอย่างจริงจังในสหรัฐอเมริกา
ขออ้างอิงเริ่มต้นจากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการเงินในปี 1994 ที่เรียกว่า 4% Rule of Thumb โดยนักวางแผนการเงินชื่อ William Bengen ได้ทำการทดลองด้วยการนำข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1926 เพื่อหาอัตราการถอนเงินเริ่มต้นสูงสุด (SAFEMAX) ที่จะทำให้เงินสร้างรายได้ให้ได้ยาวนานอย่างน้อย 30 ปี ซึ่งอาจเรียกได้ว่า 4% คือ อัตราการถอนเงินเริ่มต้น (Initial Withdrawal Rate) ที่ปลอดภัย (Safe Withdrawal Rate) ก็ได้
การถอนเงินออกมาใช้มากเกินไป จะส่งผลทำให้เงินหมดลงอย่างรวดเร็วจนอาจส่งผลให้เงินหมดก่อนตาย แต่ในทางตรงข้ามหากถอนเงินออกมาใช้ในอัตราที่น้อยเกินไป ก็จะทำให้มีเงินใช้ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความสุขหลังเกษียณ
จึงนำมาสู่คำถามที่ว่า แล้วอัตราการถอนเงินที่ปลอดภัยควรจะมีค่าเท่ากับเท่าใด ซึ่งเป็นคำถามที่ทำให้เกิดงานวิจัยมากมายในสหรัฐอเมริกา และนำไปสู่องค์ความรู้เรื่องของวิธีการถอนเงิน (Decumulation Approach) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มีเงินใช้หลังเกษียณได้นานเท่าที่ต้องการ
ค่ารักษาพยาบาล
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ก่อนที่จะตายอาจต้องผ่านด่านเจ็บป่วยก่อน ซึ่งก็ตามมาด้วยค่ารักษาพยาบาล และไม่มีใครบอกได้ว่าจะเจ็บป่วยมากน้อยและยาวนานแค่ไหน แต่จากสถิติพบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาล หรือเรียกว่าอัตราเงินเฟ้อของค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยสูงถึง 8 – 9% แปลว่า ค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ 8 – 9 ปี (ตามกฎ 72)โดยยังไม่ได้คำนึงถึง ความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ทำให้วิธีการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เช่น การรักษาโรคมะเร็งบางประเภทที่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่เรียกว่า การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (Targeted Therapy) ซึ่งส่งผลข้างเคียงน้อยกว่า ด้วยการทานยาเม็ดละเกือบหมื่นบาท ทุกวัน ๆ ละ 1 เม็ด ลองคำนวณดูว่าจะต้องใช้เงินจ่ายค่ายาสูงขนาดไหน ซึ่งประกันสุขภาพเหมาจ่ายตามเงื่อนไขใหม่ สามารถให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายประเภทนี้ด้วยเช่นกัน
สภาวะพึ่งพิง นอนติดเตียง
เป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของชีวิต เนื่องจากการเจ็บป่วยหนักจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และอาจถึงขนาดต้องนอนติดเตียง แน่นอนว่าย่อมนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายมหาศาล เป็นภาระของคนในครอบครัว ความเสี่ยงข้อนี้ถูกพูดถึงบ่อยในสหรัฐอเมริกา เพราะจากสถิติพบว่าคนที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปี มีโอกาสตกอยู่ในสภาวะนี้สูงถึง 70% แต่ในประเทศไทยยังไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าไหร่นัก ซึ่งเชื่อว่าหากลองถามคนรอบตัว จะได้คำตอบว่ามีคนในครอบครัวที่มีผู้สูงวัยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อย่างน้อย 1 คนแน่นอน
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ลดลง
ความเสื่อมของร่างกายและจิตใจเป็นธรรมดาของสังขาร แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจสร้างความเสียหายและคาดไม่ถึง มีงานวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่แสดงให้เห็นว่าเมื่ออายุมากขึ้น ความรู้ความสามารถจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะความสามารถในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ
ศาสตราจารย์ Michael Finke ได้ทำการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าเงินลงทุนในหุ้นของผู้สูงวัยในเดือนมีนาคม 2563 ช่วงเกิดวิกฤติ COVID-19 ลดลงหรือขาดทุนมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนในวัยอื่น ๆ ซึ่งมาจากสาเหตุของความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่ลดลงจากความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีความเสี่ยงอื่นที่มักจะเกิดกับผู้สูงวัย คือ การถูกหลอกลวงทางการเงิน ซึ่งพบเห็นตามข่าวอยู่เป็นระยะ ๆ ดังนั้น การเป็นผู้สูงวัยที่มีเงิน (ก้อน) เป็นความเสี่ยงที่อาจจะถูกล่อลวงได้ เป็นกลุ่มบุคคลเป้าหมายของ 18 มงกุฎ ทั้งจากบุคคลภายนอก ไม่เว้นแม้แต่บุคคลในครอบครัว
การลงทุน
ทุกคนรู้ว่าการลงทุนในเครื่องมือทางการเงิน เช่น ตราสารทุน กองทุนรวม ทองคำ เป็นต้น มีความผันผวน ไม่มีอะไรแน่นอน แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยอาจจะไม่เข้าใจหรือรู้สึกว่าความผันผวน และความเสี่ยงมีความรุนแรงเพียงใด โดยเฉพาะในช่วงหลังเกษียณ เพราะในแวดวงนักวางแผนการเงินไม่ได้นำวิธีหรือเครื่องมือที่เรียกว่า Monte Carlo Simulation มาใช้ในกระบวนการวางแผนการเงินหรือวางแผนเกษียณ
เมื่อถึงวันเกษียณ ต้องมีการถอนเงินออกมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ หากถอนเงินออกจากส่วนที่อยู่ในเครื่องมือทางการเงินที่มีความผันผวน เช่น ตลาดหุ้นและเป็นช่วงขาลง จะส่งผลให้เงินส่วนนี้ลดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น จนอาจส่งผลให้เงินหมดก่อนเวลาอันควร ถึงขนาดว่ามีงานวิจัยสรุปผลชัดเจนว่า ในช่วงเวลา 5 – 10 ปีก่อนและหลังเกษียณ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่ควรถอนเงินหากตลาดเป็นช่วงขาลง (Bear market) และเรียกช่วงเวลานี้ว่า Retirement Risk/Red Zone
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือ ความเสี่ยงหลังเกษียณที่สำคัญที่คนไทยควรทำความเข้าใจและหาวิธีบริหารจัดการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ ให้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุขตามแผนที่วางไว้ (ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวย)