×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

เทียบอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า…พญาอินทรี vs พญามังกร

1,559

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

รถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน คือภาพแทนของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพราะในรถยนต์ไฟฟ้าประกอบด้วย ชิปเซต เซมิคอนดักเตอร์ และแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญในเรื่องพลังงานสะอาด และพลังงานแห่งอนาคต

 

ปัจจุบันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าโลก ยังไม่มีใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน จึงต้องขับเคี่ยวและแข่งขันในทุกมิติ แล้วโอกาสการลงทุนอยู่ตรงไหน นักลงทุนสามารถลงทุนในอะไรได้บ้าง มาหาคำตอบกัน

 

หากพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า พบว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีส่วนประกอบเกี่ยวข้องหลายส่วนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยจำแนกให้เห็นภาพง่าย ๆ ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ผลิตแร่ลิเทียม ผู้ผลิตแบตเตอรี่ และผู้ผลิตยานยนต์

 

ผู้ผลิตแร่ลิเทียม

 

แร่ลิเทียมถือเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และด้วยความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากแนวโน้มของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ราคาสารลิเทียมคาร์บอเนตเดือนเมษายนปี 2565 ปรับตัวขึ้นถึง 432% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

หากพูดถึงหุ้นโดดเด่นที่ดำเนินธุรกิจโครงการเหมืองลิเทียมในอเมริกาเหนือและนักลงทุนไทยคุ้นเคย คือ Lithium Americas Corporation (LAC) เนื่องจากมี BCP Innovation (BCPI) บริษัทย่อยของ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) ถือหุ้นราว 0.5% อย่างไรก็ดี LAC ยังไม่มีรายได้และอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการเหมืองแร่ลิเทียม 3 แห่ง ได้แก่ Thacker Pass ในสหรัฐอเมริกา Cauchari-Olaroz และ Pastos Grandes ในอาร์เจนติน่า โดย LAC มีมูลค่าตลาดราว 1.4 แสนล้านบาท

 

ขณะที่ทางฝั่งหุ้นเหมืองแร่ของจีนต้องยกให้ Tianqi Lithium Corporation เป็นบริษัทเหมืองยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดราว 9.5 แสนล้านบาท เป็นผู้ผลิตแร่ลิเทียมรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย ด้วยสัดส่วนการผลิตแร่ลิเทียมราว 46% ทั่วโลก มีกำลังการผลิตราว 45,000 ตันต่อปี โดยในปี 2564 มียอดขายรวม 7,663 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 38.67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 2,079 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 114.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

ผู้ผลิตแบตเตอรี่

 

แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยหุ้นของธุรกิจผู้ผลิตแบตเตอรี่ในสหรัฐอเมริกา คือ QuantumScape Corporation (QS) มีมูลค่าตลาดราว 1.8 แสนล้านบาท โดยบริษัทยังไม่มีรายได้และกำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตต (Solid-state Battery) ที่สามารถเพิ่มระยะทางการใช้งานและยังใช้เวลาชาร์จที่เร็วขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ในปี 2567 – 2568  

 

สลับมาที่ทางฝั่งจีน เชื่อว่านักลงทุนคงคุ้นหูกับหุ้น CATL (Contemporary Amperex Technology Co., Ltd.) ที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่แร่ลิเทียมไฟฟ้าชั้นนำของโลก ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ที่ 35% โดยเป็นผู้จำหน่ายแบตเตอรี่ไฟฟ้าให้กับแบรนด์รถยนต์ระดับโลกอย่าง Tesla, BMW เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีนที่ราว 7 ล้านล้านบาท โดยในปี 2564 มียอดขายรวม 130,356 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 159% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 15,931 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 185.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

ผู้ผลิตยานยนต์

 

ส่วนสุดท้ายที่ใกล้ตัวผู้คนมากที่สุด คือ ผู้ผลิตยานยนต์ โดยในฝั่งสหรัฐอเมริกาต้องยกให้ Tesla เจ้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในแง่ของยอดส่งมอบที่มีมูลค่าตลาดราว 33.8 ล้านล้านบาท โดยครึ่งแรกของปี 2565 ได้ส่งมอบรถจำนวน 564,743 คัน เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นับเป็นบริษัทที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (แบบ 100%) มากที่สุดในโลก โดยในปี 2564 มียอดขายรวม 53,823 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 70.67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 5,519 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 700% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

ขณะที่ฝั่งจีนก็ต้องหุ้น BYD คู่แข่งรายสำคัญของ Tesla ที่แต่เดิมเป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แต่เมื่อต้นปี 2565 บริษัทได้ประกาศยกเลิกการผลิตอย่างเป็นทางการและผันตัวเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ซึ่งนอกจากจะผลิตรถยนต์แล้วยังมีธุรกิจผลิตแบตเตอรี่เป็นของตัวเองอีกด้วย โดยล่าสุดได้กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เคยเข้ามาแล้วเมื่อปี 2558 และ 2561 นอกจากนี้ ยังเป็นบริษัทที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ลงทุนมายาวนานตั้งแต่ปี 2551 ที่สัดส่วนราว 3% ของพอร์ตลงทุนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยหุ้น BYD มีมูลค่าตลาดราว 4.5 ล้านล้านบาท โดยในปี 2564 มียอดขายรวม 216,142 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 3,045 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats