×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

1O หุ้น ยอดขาย กำไร เติบโตไม่สะดุด

1,470

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น ข้อมูลอันดับต้น ๆ ที่นักลงทุนดูเพื่อประเมินว่าเป็นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งหรือไม่ คือ ยอดขาย (หรือรายได้) และกำไรสุทธิ เพราะถ้ามีพื้นฐานแข็งแกร่งก็มีโอกาสที่จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และทนทานต่อทุกสภาวะ และเมื่อลงทุนแล้วมีโอกาสที่ดีที่จะได้รับผลตอบแทนทั้งในรูปแบบเงินปันผลและราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายอดขาย (หรือรายได้)” และกำไรสุทธิซึ่งอยู่ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จหรืองบกำไรขาดทุน ซึ่งงบนี้มีข้อมูลสำคัญ คือ ยอดขาย (หรือรายได้) ค่าใช้จ่าย และกำไร (ขาดทุน) ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กัน 

 

ยอดขาย (หรือรายได้) – ค่าใช้จ่าย = กำไร (ขาดทุน)

 

ยอดขาย (หรือรายได้มากกว่า ค่าใช้จ่าย ผลลัพธ์คือ กำไร

ยอดขาย (หรือรายได้น้อยกว่า ค่าใช้จ่าย ผลลัพธ์คือ ขาดทุน

 

ยอดขาย (หรือรายได้) คือ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจ โดยงบกำไรขาดทุนจะบอกว่าบริษัทมีรายได้จากไหน เมื่อมียอดขาย (หรือรายได้) เข้ามา จะทำให้มีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ดังนั้น ยอดขาย (หรือรายได้) ถือเป็นรายได้หลักของบริษัท ดังนั้น บริษัทที่ดีที่น่าลงทุนควรมียอดขาย (หรือรายได้) เติบโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพราะจะสะท้อนว่าธุรกิจนั้นยังมีโอกาสเติบโตและในอนาคตยังคงมียอดขาย (หรือรายได้) เพิ่มขึ้นได้อีก

 

ในเบื้องต้น บริษัทที่ดีที่น่าลงทุนควรมียอดขาย (หรือรายได้) เติบโตต่อเนื่อง เช่น เติบโต 5 ปีติดต่อกัน เพื่อเป็นตัวบ่งบอกว่าบริษัทยังเติบโตต่อได้และยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งประเมินได้ว่าในอนาคตบริษัทยังคงมียอดขาย (หรือรายได้) เพิ่มมากขึ้น

 

สำหรับกำไรสุทธิ คือ รายได้สุทธิ ซึ่งจะช่วยบอกมูลค่าผลการดำเนินงานหลังรวมหรือหักรายการทั้งหมดในงบกำไรขาดทุนเรียบร้อยแล้ว เป็นตัวเลขที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนในการประเมินยอดขาย (หรือรายได้) ที่มากกว่าค่าใช้จ่าย และเป็นตัวบ่งบอกความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

 

รายได้รวมค่าใช้จ่ายรวม = กำไรสุทธิ

 

กำไรสุทธิมากกว่า 0 เท่ากับ บริษัทมีผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ

กำไรสุทธิน้อยกว่า 0 เท่ากับ บริษัทมีผลการดำเนินงาน ขาดทุนสุทธิ

 

โดยการดำเนินธุรกิจที่ดี ธุรกิจควรสร้างกำไรสุทธิให้เติบโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพราะแสดงถึงความสามารถในการบริหารงาน ทั้งในด้านการควบคุมต้นทุนการผลิต การตลาด การแข่งขัน ระดับหนี้สิน และความเอาใจใส่ของทีมผู้บริหารต่อการดำเนินธุรกิจ

 

ในเบื้องต้น บริษัทที่ดีที่น่าลงทุนควรมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง เช่น เติบโต 5 ปีติดต่อกัน ที่สำคัญควรมาจากการขายสินค้าและบริการหลักของบริษัท ซึ่งจะส่งผลดีกับบริษัทในระยะยาว เพราะเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นประจำ

 

โดยทฤษฎีแล้วถ้าบริษัทมีการเติบโตด้านผลการดำเนินงาน ราคาหุ้นจะปรับขึ้นตามและมีโอกาสได้รับเงินปันผลอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยอดขาย (หรือรายได้) และกำไรสุทธิเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาซื้อหุ้นเท่านั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats