×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

8 หุ้น ราคาถูก พื้นฐานแน่น

2,034

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line Youtube | Instagram

 

หากพูดถึงการลงทุนหุ้น นักลงทุนชื่นชอบที่จะเห็นราคาหุ้น โดยเฉพาะราคาหุ้นที่ตัวเองซื้อเอาไว้ปรับขึ้น เพราะเมื่อขายก็จะได้กำไร แต่ด้วยเรื่องธรรมชาติของราคาหุ้นที่มีขึ้นและมีลงจึงไม่สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ 100% ว่าในอนาคตราคาหุ้นจะไปทิศทางไหน ดังนั้น กลยุทธ์สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ คือ การลงทุนระยะยาว

 

มีคำถามว่า ควรทำอย่างไรในขณะที่ถือหุ้นและเกิดภาวะวิกฤต หากราคาหุ้นปรับลดลงก็จะทำให้ขาดทุน คำตอบ คือ ควรขายหรือถือต่อ หมายความว่า การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับการวางกลยุทธ์ของนักลงทุน แต่หากดูตามสถิติดัชนีผลตอบแทนรวม (TRI) ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนควรลงทุนระยะยาว เพราะจะได้รับผลตอบแทนที่ดีมากกว่าผลขาดทุน

 

จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าตลอด 48 ปี (2518– 2565) ดัชนีผลตอบแทนรวม (TRI) ตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 30 ปี โดยปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่า 50% มี 6 ปี, มากกว่า 20% มี 18 ปี

 

ขณะที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ 18 ปี โดยปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบมากกว่า 50% มี 1 ปี, มากกว่า 20% มี 6 ปี

 

จากสถิติดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าหากลงทุนระยะยาว เช่น มากกว่า 10 ปี จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งจากคำแนะนำของวอร์เรน บัฟเฟตต์ว่าอย่าจดจ่ออยู่แต่วันเวลาที่ใช้ไปในการลงทุนกับตลาดหุ้น ยิ่งจดจ่อกับระยะเวลาที่เริ่มลงทุนมากเท่าไหร่ อาจยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น นักลงทุนควรใช้เวลาไปกับการวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นมากกว่า

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤต นักลงทุนอาจกังวลใจกับการตัดสินใจลงทุน เพราะมองว่าเต็มไปด้วยความเสี่ยง หากไม่ระมัดระวังอาจเกิดความผิดพลาดและได้รับความเสียหาย แต่จากสถิติข้อมูลจากช่วงวิกฤติซับไพรม์ พบว่าการลงทุนระยะยาวถือเป็นทางออกที่ดี

 

กรณีที่ 1 : เริ่มลงทุนในปี 2551 (ซื้อหุ้นช่วงเกิดวิกฤติซับไพรม์) และถือหุ้นไปจนถึงปี 2560 ดัชนีหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น (รวมปันผล) 10 ปี เท่ากับ 11.61%

 

กรณีที่ 2 : เริ่มลงทุนในปี 2552 (ซื้อหุ้นเมื่อเข้าสู่วิกฤติซับไพรม์เต็มตัว) และถือหุ้นไปจนถึงปี 2561 ดัชนีหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น (รวมปันผล) 10 ปี เท่ากับ 17.51%

 

กรณีที่ 3 : เริ่มลงทุนในปี 2553 (ซื้อหุ้นเมื่อมั่นใจว่าตลาดเริ่มฟื้นตัว) และถือหุ้นไปจนถึงปี 2562 ดัชนีหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น (รวมปันผล) 10 ปี เท่ากับ 11.82%

 

พบว่า กรณีที่ 2 สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด ด้วยการเริ่มลงทุนเมื่อเข้าสู่วิกฤติซับไพรม์เต็มตัว ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดซบเซา เพราะเข้าใจธรรมชาติของตลาดเป็นอย่างดี จึงลงทุนด้วยความมั่นใจ โดยไม่จำเป็นต้องรอดูสัญญาณการฟื้นตัวใด ๆ ทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นว่า การถือหุ้นในระยะยาวและสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่ดีในราคาที่ถูก ก็จะลดความเสี่ยงได้ หมายความว่า เพิ่มกำไรให้สูงขึ้น ซึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ แนะนำว่าควรกล้าลงทุนซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาลง การเฝ้ารอในระยะยาวจะช่วยให้มองเห็นวงจรขึ้นลงของตลาดหุ้น และเลือกซื้อหุ้นในจังหวะที่ราคากำลังตกได้

 

โดยการลงทุนระยะยาว เหมาะกับการรอซื้อหุ้นเมื่อราคาปรับลดลง จากนั้นก็ถือเพื่อรอทำกำไร โดยหุ้นที่ซื้อต้องมั่นใจว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีการเติบโตของรายได้และกำไรต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และธุรกิจยังอยู่ในช่วงของการเติบโตในระยะยาว

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats