คำถามยอดฮิต! มีเงินเก็บ 5OO,OOO บาท ลงทุนอะไรดี?
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
มีเงินเก็บก้อนโต 500,000 บาท จะลงทุนอะไร? แบ่งเงินลงทุนอย่างไรดี? มาหาคำตอบกัน…
เมื่อมีเงินเก็บมากพอจนรู้สึกว่าต้องทำบางอย่าง เพื่อได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยของเงินที่ฝากอยู่ สิ่งนั้นคงหนีไม่พ้นคำว่า “ลงทุน” แต่คำถามที่อยู่ในใจหลายคนคือ แล้วจะนำไปลงทุนอะไรดี? ซึ่งเรื่องที่เราควรพิจารณามีดังนี้
ลงทุนต่าง ผลลัพธ์ย่อมต่าง
อย่างเงินลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท หากฝากในเงินฝากประจำหรือ e-Saving ที่ให้ผลตอบแทน 1.5% ต่อปี เงินจะโตขึ้นเป็น 2 เท่า หรือ 1 ล้านบาท ได้ต้องใช้เวลาถึง 47 ปี
แต่หากเปลี่ยนเป็นนำเงินที่เท่ากันไปลงทุนกองทุนผสมที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี เงินจะโตเร็วขึ้นเป็น 2 เท่า ในเวลาเพียง 10 ปี หรือหากลงทุนต่อจนรวมเวลาเป็น 47 ปี เงินจะโตขึ้นเป็น 12 ล้านบาท
ผลตอบแทน จากทางเลือกที่ต่างกัน
แต่ละทางเลือกลงทุน แม้มีความเสี่ยงและข้อจำกัดต่างกัน แต่ที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนที่ต่างกันด้วย ตามแนวคิดที่หลายคนคุ้นหูว่า “High risk high expected return” หมายถึง “การลงทุนในทางเลือกที่มีความสูง มักคาดหวังผลตอบแทนที่สูงได้” โดยตัวอย่างทางเลือกที่ว่า ได้แก่
- เงินฝาก ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือแทบไม่มีความเสี่ยงเลย ผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ไม่เกิน 1.5%-2% ต่อปี
- กองทุนผสม ที่มีความเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ประมาณ 5%-7% ต่อปี
- กองทุนหุ้น (หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือหุ้นโลก) ผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ประมาณ 7%-10% ต่อปี
เลือกลงทุน ทางไหนดี?
ต้องไม่เลือกจากผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลือกจากระยะเวลาลงทุน เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญด้วย เช่น
- ลงทุนสั้นๆ ไม่ถึง 3 ปี ควรเน้นลงทุนในเงินฝากหรือกองทุนตราสารหนี้ที่ความผันผวนต่ำ แม้เชื่อว่าตนเองรับความเสี่ยงได้สูงก็ตาม
- ลงทุนยาวๆ 5 ปีขึ้นไป แม้เป็นผู้รับความเสี่ยงได้ต่ำหรือไม่เคยลงทุนมาก่อน ควรเน้นลงทุนกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น ที่แม้มีความผันผวน แต่ในระยะยาวมักไม่ค่อยเห็นการขาดทุนและมักให้ผลตอบแทนที่สูงด้วย
แบ่งเงินเก็บ ไปลงทุนอย่างไรดี?
ด้วยเงินเก็บตอนโต เช่น 500,000 บาท คงมีน้อยคนที่นำเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนทางเลือกใดเพียงทางเลือกเดียว ดังนั้นหากไม่นับส่วนที่เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน การลงทุนด้วยเงินก้อนโดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป ควรแบ่งและกระจายเงินลงทุนเป็นส่วนๆ ได้แก่
- ส่วนที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอนและความผันผวนต่ำ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนตราสารหนี้ ฯลฯ ประมาณ 30%-70% ของเงินลงทุน เพื่อลดความกังวลในช่วงที่ตลาดผันผวน
- ส่วนที่เน้นผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาว เช่น กองทุนผสม กองทุนหุ้นโลกหรือประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ฯลฯ ประมาณ 50%-70% ของเงินลงทุน
- ส่วนที่เน้นผลตอบแทนสูง ในระยะสั้นถึงกลาง ตามกองทุนเด่นของสถาบันการเงินต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา เช่น กองทุนหุ้นธีม กองทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม หรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ ฯลฯ ประมาณ 10%-30% ของเงินลงทุน
ใช้แรงทำเงินมาหลายปี ควรถึงเวลาให้เงินที่เก็บมาได้ทำงาน เพื่อช่วยให้เงินได้งอกเงยเป็นเงินก้อนโตได้เร็วกว่าการฝากเงิน