YLG ชี้ทองคำยังทรงตัว $2,4OO ลุ้นครึ่งปีหลังยังบวกได้ต่อ
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า หลังราคาทองคำตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จนขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติกาลอีกครั้งที่ 2,483 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเกิดแรงขายทำกำไรสลับเข้ามาบ้าง ทำให้ราคามีการพักฐานลงมาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ราคายังพยายามสร้างฐานที่โซน 2,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
ดังนั้นเมื่อการสร้างฐานเสร็จสิ้น ราคามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ ตามแนวโน้มทองคำในระยะยาวที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยวายแอลจียังคงเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้ ว่ายังสามารถขึ้นทดสอบได้ถึงระดับ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
โดยปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำยังเป็นขาขึ้นในปีนี้ยังคงมีอยู่อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะปัจจัยการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจาก CME FedWatch Tool บ่งชี้คาดการณ์ตลาดว่า เฟดจะเริ่มต้นวงจรดอกเบี้ยขาลง ในการประชุมเดือน ก.ย. และมีโอกาสปรับลดได้อีกก่อนจะสิ้นสุดปี 2567 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ ที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านระบุว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินนโยบายในอนาคต อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องอัตราดอกเบี้ยเฟดแล้ว ยังมีปัจจัยสนับสนุนอีก 3 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงผู้นำของสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยล่าสุด นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี มีโอกาสขึ้นมาเป็นแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครต ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แทนที่ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และทำให้คะแนนนิยม ขึ้นมาใกล้เคียงกับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตจากพรรครีพับลิกัน ส่งผลให้การเลือกตั้งยังมีความไม่แน่นอนที่สูงมาก
2. ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความน่าเป็นห่วง
เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันยังคงยืดเยื้อในหลายภูมิภาค และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมไปถึงยุโรป ในประเด็นการขึ้นภาษีด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องคอยจับตาอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยให้มีแรงซื้อพยุงเมื่อราคาทองคำมีการพักตัวลง
3. ธนาคารกลางทั่วโลกยังทยอยสำรองทองคำเพิ่มขึ้น ท่ามกลางกระแส De-Dollarization หรือการลดบทบาทสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
แม้ว่าดีมานด์จากจีนในระยะสั้นจะเริ่มชะลอไปบ้าง จากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้ต่ำกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้รายงานว่าอินเดียเตรียมปรับลดอัตราภาษีนำเข้าทองคำจาก 15% เหลือ 6% ซึ่งเป็นการกระตุ้นดีมานด์เพิ่มเติม
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงนี้ วายแอลจีแนะนำว่า ควรเน้นการเก็งกำไรจากการแกว่งตัวในระยะสั้น เนื่องจากมีหลายหลายปัจจัยโดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่สร้างความผันผวนให้กับราคาสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก โดยแนะนำรอการเข้าซื้อ เมื่อเสร็จสิ้นช่วงการพักฐานของราคาในระยะสั้น โดยรอการย่อตัวลงทดสอบแนวรับ 2,383-2,368 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเมื่อราคามีการแกว่งตัวขึ้น ให้รอขายทำกำไรที่โซนแนวต้าน 2,422-2,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
ส่วนทองคำแท่ง 96.5% ของไทย มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 40,850-40,600 บาทต่อบาททองคำ และกรอบแนวต้านที่โซน 41,500-41,800 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณด้วยค่าเงินบาท 36.12 บาทต่อดอลลาร์ ณ วันที่ 24 ก.ค. เวลา 15.00 น.)
อย่างไรก็ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อสะสมในระยะยาวนั้น วายแอลจีแนะนำการลงทุนที่น่าสนใจอีกวิธีหนึ่ง คือการลงทุนสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการออม และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่เปิดโอกาสให้เริ่มสะสมด้วยเงินลงทุนเพียง 100 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ–ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมงเข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน