Gen Y กำลังจะเป็นรุ่นที่ร่ำรวยที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
…รู้หรือไม่? โลกกำลังอยู่ในช่วงเวลา ‘การส่งต่อความมั่งคั่ง’ ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือ ‘The Great Wealth Transfer’
…คนรุ่น Millennials หรือ Gen Y จะกลายเป็นรุ่นที่ ‘ร่ำรวย’ ที่สุด! เท่าที่เคยมีมา
…ความมั่งคั่งมหาศาล ที่กำลังค่อยๆ ถูกส่งต่อ จะกระทบเราอย่างไร?
…ภาพการลงทุนในอนาคตจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน?
The Great Wealth Transfer คืออะไร?
แปลตรงตัวเลยคือ ช่วงส่งผ่านความมั่งคั่งครั้งใหญ่ โดยเฉพาะจากรุ่น Baby Boomer ไปสู่ Gen X และ Gen Y หรือกลุ่ม Millennials ซึ่งเรื่องนี้กำลังเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และแหล่งที่มาของความมั่งคั่งมหาศาลที่กำลังจะถูกส่งต่อก็คือ ‘มรดก’ นั่นเอง
Bank of America บอกว่าปัจจุบัน คนรุ่น Baby Boomer ซึ่งมีอายุระหว่าง 70-78 ปี เป็นกลุ่มที่ถือครองความมั่งคั่งมากที่สุดประมาณ 62% รองลงมาคือกลุ่ม Gen X ประมาณ 20% และกลุ่ม Millennials ประมาณ 9% แต่หลังจากที่ความมั่งคั่งค่อยๆ เปลี่ยนมือ จะทำให้กลุ่ม Millennials ร่ำรวยขึ้นถึง 5 เท่า ภายในปี 2030
คน Gen Y จะเป็น Generation ที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์
จากการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาอย่าง Cerulli Associates คาดว่าในอีกราว 2 ทศวรรษ หรืออีก 20 ปีข้างหน้า เฉพาะในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว จะมีการส่งต่อความมั่งคั่งคิดเป็นมูลค่ารวมกันมากถึง 84 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเงินส่วนนี้คาดว่าจะตกถึงมือของทายาทประมาณ 72 ล้านล้านดอลลาร์ และอีก 12 ล้านล้านดอลลาร์ จะถูกบริจาคให้กับการกุศล
Cerulli Associates ได้ประเมินไว้ในเบื้องต้นว่ามูลค่าของมรดกที่จะถูกส่งต่อ ส่วนมากจะไปอยู่ที่ Gen X และกลุ่ม Millennials หรือ Gen Y ซึ่งแต่ละรุ่นจะได้รับมรดกประมาณ 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึงปี 2045 โดยจะไปอยู่ที่ Gen X ราว 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, Millennials 27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, Gen Z 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Baby Boomer ด้วยกันเอง 4 ล้านล้านดอลลารสหรัฐ
และแม้ว่า Gen X จะได้รับมรดกมากกว่ากลุ่ม Millennials เล็กน้อย แต่ก็มีการคาดการ์ว่ากลุ่ม Millennials จะมีความมั่งคั่งแซงหน้า Gen X ได้ก่อนปี 2040 ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งที่ได้รับการส่งต่อ บวกกับการสร้างความมั่งคั่งเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ จึงมีโอกาสที่จะทำให้พวกเขากลายเป็น Generation ที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาอีกด้วย
เมื่อความมั่งคั่งเปลี่ยนมือ กระแสเงินลงทุนจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา คนรุ่น Baby Boomer อาจจะเป็นรุ่นที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ เนื่องจากตลาดหุ้นและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น เงินลงทุน 100 ดอลลาร์ในกองทุนดัชนี S&P 500 ในปี 1980 จะมีมูลค่ามากกว่า 12,000 ดอลลาร์ ในปัจจุบัน ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 120 เท่า มูลค่าบ้านก็เพิ่มขึ้นเกือบ 300% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ดังนั้น สำหรับชาวอเมริกันที่มีอายุมากที่สามารถลงทุนและซื้อบ้านได้ในช่วงอายุ 20 ปี หรือ 30 ปี จะได้รับผลตอบแทนมหาศาล
Ken Costa ผู้เขียนหนังสือ “The 100 Trillion Dollar Wealth Transfer” กล่าวว่า ความแตกต่างระหว่างคนรุ่นก่อนและคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะในมุมของความคิดที่เกิดขึ้นในระยะหลัง จะส่งผลกระทบต่อระบบทุนนิยมและเศรษฐกิจโดยภาพรวม
อย่างเรื่องของการลงทุน นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่เชื่อมั่นเท่ากับในอดีตว่าการลงทุนด้วยวิธีการดั้งเดิม ที่ประกอบไปด้วย หุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์ จะให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยได้ คนรุ่นใหม่เปิดรับเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ รวมถึงการลงทุนทางเลือกมากขึ้น
ในระหว่างที่การสั่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่นี้กำลังดำเนินไป แต่ละ Generation ต่างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทายาทรุ่นหลังก็รู้ว่าพวกเขาอาจต้องปรับเปลี่ยนและจัดสรรความมั่งคั่งใหม่เพื่อสืบทอดมรดกของครอบครัว โดยเฉพาะการมุ่งหาโอกาสและความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญในปัจจุบัน เช่น เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม การเปลี่ยนแปลงพลังงานสะอาด และการลงทุนที่มีผลกระทบต่อสังคม
Bank of America ได้ลองสำรวจความเห็นของชาวอเมริกันจำนวน 1,052 คน เมื่อปี 2022 ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนรวมกันในครอบครัวกว่า 3 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 108 ล้านบาท ที่มีอายุมากกว่า 21 ปีขึ้นไป ผลจากการสำรวจมีสิ่งที่น่าสนใจคือ
75% ของคนรุ่นใหม่เห็นด้วยว่า พวกเขาจะ “ไม่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย” จากหุ้นและพันธบัตรแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว ในขณะที่คนรุ่นก่อนมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ที่มีความคิดเห็นเดียวกันนี้
เพราะฉะนั้น หนึ่งในกุญแจหลักสู่การประสบความสำเร็จของการลงทุนในอนาคต คือการมองให้ออกว่ากระแสของเงินลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อความมั่งคั่งเปลี่ยนมือ และเงินทุนจะไหลไปอยู่จุดไหน
‘การลงทุน’ ที่คนรุ่นใหม่สนใจ
ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว สินทรัพย์หรือการลงทุนแบบไหน คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่สนใจ?
สำหรับคนรุ่นก่อนที่มีอายุมากกว่า 43 ปีขึ้นไป มักจะสนใจการลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก แต่สำหรับรุ่นที่อายุน้อยลงมา ความสนใจในการลงทุนในหุ้นลดลง และถูกกระจายไปยัง Cryptocurrency, Private Equity, Private Debt และการลงทุนโดยตรงในบริษัทต่างๆ และยังรวมถึงการก่อตั้งบริษัทหรือแบรนด์ของตนเอง เมื่อความมั่งคั่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นผ่านการรับมรดก
ส่วนอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก นอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ Sustainable ที่จะกลายมาเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น ขณะเดียวกันการลงทุนทางเลือกอย่างงานศิลปะก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้ให้ความสนใจมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน
สุดท้ายการสร้างความมั่งคั่ง จะกลับมาสู่ ‘สูตรสำเร็จ’ ?
แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าการถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่จะส่งผลกระทบต่อตลาดมากน้อยเพียงใด แต่ความเต็มใจของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่จะผลักดันให้มีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้นนั้น อาจสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับทุกคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
Lauren Sanfilippo, Senior investment strategist, Chief Investment Office ของ Bank of America เชื่อว่า ถึงแม้คนรุ่นใหม่จะสนใจในความยั่งยืนและการลงทุนทางเลือก แต่ในท้ายที่สุดแล้วนักลงทุนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็จะกลับมาสู่สูตรสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่งจากมรดกที่ได้รับ
หรือหากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ พวกเขาจะกลับมาสู่สมการของหุ้นและพันธบัตรในฐานะการจัดสรรพอร์ตการลงทุนพื้นฐาน เพราะหลักการลงทุนเหล่านี้ผ่านการทดลองและพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเรื่องของการจัดสรรพอร์ตลงทุน การกระจายความเสี่ยง เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลา และเป้าหมายระยะยาว สามารถใช้ได้ผลเสมอ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไรก็ตาม