เริ่มวางแผนเกษียณ ตั้งแต่ทำงานวันแรก บทเรียนจาก “พี่ก้อย” วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
ในโลกปัจจุบันที่ทุกสิ่งหมุนเวียนด้วยเงิน “การวางแผนการเงิน” จึงเปรียบเสมือนเข็มทิศที่นำทางชีวิตไปสู่ความมั่นคงและความสุข
หลายคนอาจรู้สึกว่าการเริ่มต้นวางแผนการเงินเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นทำงานที่รายได้อาจยังไม่มากพอ แต่ความจริง คือ ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรือเล็กน้อยเกินไปสำหรับการเริ่มต้น หากยังไม่ได้เริ่ม อย่ากังวล ทุกวินาทีสามารถเป็นจุดเปลี่ยนได้ เช่นเดียวกับ “พี่ก้อย” คุณวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ นักวางแผนการเงิน CFP® ตัวอย่างของคนที่เริ่มคิดเรื่องการวางแผนเกษียณตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน จนทำให้วันนี้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายในวัยเกษียณ
โดยเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่เดือนแรกที่เริ่มทำงาน แม้รายได้เพียง 8,000 บาท แต่การเริ่มต้นแบ่งเงินไปออม 1,000 บาทในแต่ละเดือนกลับกลายเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงและมั่งคั่ง เรื่องราวของพี่ก้อย พิสูจน์ให้เห็นว่า การเริ่มต้นที่ดีไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่ต้องเริ่มต้นด้วยความตั้งใจจริงและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
“เป็นคนใช้เงินเก่งมาตั้งแต่เด็ก แต่โชคดีที่คุณพ่อสอนไว้ว่าลูกใช้เงินเก่ง ลูกต้องหาเงินให้เก่งกว่าที่ใช้” พี่ก้อย เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเรื่องการวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย และคำพูดสั้นๆ ของคุณพ่อในวันนั้นกลายเป็นแรงผลักดันให้พี่ก้อยมุ่งมั่นหางานที่มีรายได้ดีและเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน
เคล็ดลับจัดการเงินให้มั่นคง
เมื่อเริ่มทำงานด้วยเงินเดือน 8,000 บาท พี่ก้อยตัดสินใจทำในสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ด้วยการกันเงิน 1,000 บาทไว้ก่อนใช้จ่าย และใช้ชีวิตด้วยเงินที่เหลือ 7,000 บาท นี่คือจุดกำเนิดของสูตรที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักกันดี “รายได้ – เงินออม = ค่าใช้จ่าย” หรือพูดง่ายๆ ว่ากันเงินออมไว้ก่อน แล้วค่อยใช้ที่เหลือ ต่างจากที่หลายคนทำคือรอดูว่าเหลือเท่าไหร่แล้วค่อยออม
ทำไมต้องวางแผนการเงิน?
“ชีวิตไม่มีแผนที่ก็เหมือนเรือไม่มีหางเสือ” พี่ก้อยเปรียบเทียบ การวางแผนการเงิน คือ การกำหนดทิศทางชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องเงินๆ ทองๆ แต่เป็นเรื่องของทุกย่างก้าวในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียน แต่งงาน มีลูก เที่ยว หรือเกษียณ ทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งนั้น ถ้าไม่วางแผนตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าอาจต้องมานั่งเสียใจที่ไม่เริ่มเร็วกว่านี้
หลายคนอาจมีคำถามในใจว่าตัวเองมีอายุ 40 ปี หรือ 50 ปี น่าจะแก่เกินไปกับการเริ่มต้นวางแผนการเงิน “อายุ 40 ปี 50 ปี ยังไม่สายหรอก” พี่ก้อย บอก “แค่ต้องเหนื่อยหน่อย แต่ถ้าตั้งใจจริง ทุกอย่างเป็นไปได้” ซึ่งจริงๆ แล้ว คนที่เริ่มออมตอนอายุ 40 ปีขึ้นไป ถ้าทำจริงจัง ยังมีโอกาสมีเงินล้านตอนเกษียณได้เลย ซึ่งข้อมูลจาก Charles Schwab แสดงให้เห็นว่า แม้จะเริ่มออมเงินที่อายุ 45 ปี หากออมอย่างจริงจังและลงทุนอย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถสร้างเงินเกษียณได้ทะลุ 1 ล้านบาทเมื่ออายุ 65 ปี
“การวางแผนการเงินที่ดีไม่เพียงช่วยให้ชีวิตราบรื่น แต่ยังช่วยให้เรามีเวลาและทรัพยากรในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับชีวิตและสังคม โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาการเงิน เพราะการมีอิสรภาพทางการเงิน คือ การมีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง”
ความกล้าครั้งใหญ่มาเมื่อพี่ก้อยตัดสินใจซื้อบ้านหลังแรกราคา 1.25 ล้านบาท ทั้งที่มีเงินเดือนเพียง 9,200 บาท ในยุคที่ดอกเบี้ยบ้านพุ่งถึง 15% หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่พี่ก้อยกลับมองว่านี่คือโอกาส จึงทุ่มเงินเดือนทั้งหมดผ่อนบ้าน แล้วก็อาศัยรายได้ของสามีที่เป็นวิศวกรในการใช้จ่ายประจำวัน
พี่ก้อยไม่ได้หยุดแค่การผ่อนบ้าน ยังได้แบ่งเงินออกเป็นหลายกระปุก ทั้งกระปุกออม กระปุกลงทุน และกระปุกผ่อนบ้าน ทำทุกอย่างควบคู่กันไป การตัดสินใจนี้สอดคล้องกับทฤษฎี Modern Portfolio Theory ที่เน้นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง และที่น่าสนใจคือ ด้วยความที่อายุยังน้อยและมีงานมั่นคง พี่ก้อยกล้าลงทุนในหุ้นทั้งพอร์ตการลงทุน เริ่มจากการซื้อขายระยะสั้น และค่อยๆ ปรับเป็นการลงทุนระยะยาวเมื่อพอร์ตการลงทุนใหญ่ขึ้น
เส้นทางการลงทุน
เมื่อพูดถึงนักลงทุนระยะยาว หลายคนอาจสงสัยว่าสามารถผ่านช่วงเวลาขึ้น–ลงของตลาดมาได้อย่างไร พี่ก้อยเล่าถึงหลักการสำคัญในการจัดพอร์ตการลงทุนว่า “ไม่เอาทุกอย่างไปใส่ในตะกร้าใบเดียวกันและที่สำคัญต้องกระจายความเสี่ยงการลงทุนตามช่วงชีวิต” โดยในช่วงอายุน้อย พี่ก้อยกล้าถือสินทรัพย์เสี่ยงสูงในสัดส่วนที่มาก แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็ค่อยๆ ปรับพอร์ตการลงทุนให้มีสินทรัพย์ที่ผันผวนน้อยมากขึ้น เช่น พันธบัตร หุ้นกู้
ผลตอบแทนที่น่าทึ่ง
ในช่วงที่ตลาดรุ่งเรือง พอร์ตการลงทุนของพี่ก้อยสร้างผลตอบแทนได้ 100% หรือบางช่วงได้สูงถึง 300% ต่อปี และแม้ในช่วงหลังที่ปรับลดความเสี่ยงลง ยังคงทำผลตอบแทนได้ 40–50% “โดยพอร์ตการลงทุน ไม่ได้มีหุ้น 100% หุ้นอาจจะอยู่สักครึ่งหนึ่งของพอร์ต แต่บางปีก็ติดลบ ก็เจ็บตัวเหมือนกัน เหมือนกับทุกๆ คน แต่เผอิญสัดส่วนที่ลงทุนไปแล้วเจ็บตัว มันไม่ได้เยอะ จนทำให้ฐานะการเงินของเราทรุดลง” พี่ก้อย อธิบาย
บทเรียนจากวิกฤต
พี่ก้อยเน้นย้ำว่า การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต้องเป็นเงินที่สูญเสียแล้วไม่กระทบชีวิต และต้องรักษาสภาพคล่องไว้เสมอ เพื่อฉวยโอกาสเมื่อตลาดผันผวน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ BlackRock ที่พบว่า นักลงทุนที่มีเงินสดพร้อมลงทุนในช่วงวิกฤตมักสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 60%
สำหรับจุดเปลี่ยนสำคัญ พี่ก้อยเผยว่าการสร้าง 1 ล้านบาทแรกเป็นเรื่องยากที่สุดเพราะเริ่มจากศูนย์ แต่ล้านที่สองง่ายกว่าเพราะมีฐานทุนแล้ว “เมื่อถึงจุดที่มีความมั่นคงพอ ก็ก้าวไปสู่การลงทุนในธุรกิจ Startup, Pre-IPO และ Venture Capital “ดูธุรกิจที่กิจการที่คิดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ซึ่งอาจจะยากสักหน่อย ส่วนใหญ่ถ้าเงินลงทุนระยะยาวหรือเป็นเงินเย็นก็ลงทุน 7 ปี 10 ปี แต่ผลตอบแทนอาจจะได้สูง บางที 3 เท่า 4 เท่า หรือ 10 เท่าของเงินลงทุน แต่ก็ต้องคอยดูพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะและเป้าหมายของตัวเอง เพราะเป้าหมายเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ช่วงแรกก็ออมเพื่อมีบ้าน ผ่อนบ้าน ช่วงถัดไปก็ออมเพื่อมีทรัพย์สิน” พี่ก้อย อธิบาย
3 เป้าหมายในการลงทุน
1. สร้างสินทรัพย์พื้นฐาน
2. สร้างความมั่นคงทางการเงิน
3. ลงทุนเพื่อสังคม
ปัจจุบัน พี่ก้อยได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 3 คือการลงทุนเพื่อสังคม โดยช่วยสนับสนุนธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริงไม่ได้จบที่ตัวเลขในบัญชี แต่อยู่ที่การสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม
หลักการสำคัญที่พี่ก้อยยึดถือมาตลอด
– ไม่ใช้จ่ายเกินกว่ารายได้
– กู้ยืมเฉพาะเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ เช่น ซื้อบ้าน ไม่กู้เพื่อการบริโภค
– ลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
– ปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์
วันนี้…จากเริ่มต้นเก็บออมตั้งแต่ได้เงินเดือนเดือนแรก พี่ก้อยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ด้วยการวางแผนที่ดีและมีวินัย “ทุกคนสามารถสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงินได้ ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยเงินเดือนเท่าไรก็ตาม”