×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

SMEs ไม่ตาย 3 วิธีชนะ “ทุนจีนบุกไทย”

177

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

“วันนี้ ผมว่าเทคโนโลยีเป็นตัวสำคัญ ออนไลน์ไม่ใช่ทางเลือกแล้ว แต่เป็นทางรอดและทางหลักของหลายๆ ธุรกิจ และหลายคนชอบเอาคำ ไม่รู้ ไม่เป็น มากั้นความเจริญของตัวเอง วันนี้ต้องหยุดพูดคำว่า ไม่รู้ ไม่เป็น ผมแก่เกินไปแล้ว คำเหล่านี้ถ่วงความเจริญคุณ”

 

คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอม กรุ๊ป จำกัด

 

การเคลื่อนทัพของ “ทุนจีน” จากการแทรกซึมเข้ามาจากช่องทางออนไลน์ ได้แผ่ขยายอาณาจักรใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็เห็น “ทุนจีน” ปักหมุดอยู่ทั่วทุกวงการ มาเจาะลึกเส้นทาง “ทุนจีน” ในเมืองไทย กับ “คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอม กรุ๊ป จำกัด” บุคคลแรกๆ ในเมืองไทยทื่เตือนว่า “สินค้าจีนมาแน่!”

 

[Now] ออนไลน์: ท่อตรง…สินค้าจีนทะลักไทย

 

ปฐมบทของ “ทุนจีน” บุกไทยเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2016 ยุคที่อีคอมเมิร์ซเริ่มเข้ามาในประเทศ และและเป็นปีที่ Alibaba ยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนเข้าซื้อกิจการ Lazada แพลตฟอร์มค้าออนไลน์สัญชาติเยอรมัน

 

คุณภาวุธชี้ชัดว่า การซื้อกิจการครั้งนั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะหลังจากนั้นแค่ปีกว่าๆ ก็เริ่มเห็น Section สินค้าจีนโผล่เข้ามาในแพลตฟอร์มนี้ และเขาเป็นคนแรกๆ ที่เตือนว่า “สินค้าจีนมาแน่!”

 

ออนไลน์เป็นท่อตรงที่ทำให้สินค้าจากจีนทะลักเข้ามาในไทย ผมเตือนให้ทุกคนระวัง ให้ตั้งการ์ด แต่ก็เริ่มลุกลามมาเรื่อยๆ

 

คุณภาวุธเล่าต่อว่า จากเดิมที่สินค้าไทยเคยมีสัดส่วนประมาณ 70-80% ใน Lazada แต่หลังการซื้อกิจการดังกล่าว Alibaba ซึ่งเป็นเกตเวย์สำคัญ เป็นแพลตฟอร์มที่โรงงานในจีนค้าขายกันอยู่แล้ว ก็ใช้โอกาสนี้ขยายช่องทางการขายมาใน Lazada ด้วย 

 

สินค้าจีนก็เริ่มทะลักมาใน Lazada เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงเดียวกัน Shopee ก็เริ่มเปิดตัวและเข้ามาท้าชิงแข่งกับ Lazada โดย Shopee เริ่มนำสินค้าจากจีนมาขายในแพลตฟอร์มเช่นกัน” 

 

คุณภาวุธระบุว่า หัวใจของธุรกิจ E-Commerce คือ จำนวนสินค้า ยิ่งจำนวนสินค้าเยอะ และมี Traffic คนเข้ามาเยอะ ก็ส่งผลให้ยอดขายเยอะ รายได้เยอะ ตามไปด้วย

 

ตั้งแต่วันนั้น ก็ได้เห็นสินค้าจีนปริมาณเยอะมากในทั้งสองแพลตฟอร์ม ซึ่งประเมินกันว่าอยู่หลักนับ 100 ร้อยล้านชิ้น สินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์เกิน 50% มาจากจีน เพราะจีนมีสินค้าเป็นล้านล้านอยู่แล้ว การซื้อขายก็สุดแสนสะดวก ทำให้สินค้าจีนส่งตรงสู่นักชอปคนไทยอย่างง่ายดาย

 

วิธีการคือ เปิดร้านปุ๊บ ก็เทข้อมูล รูปภาพทุกอย่างลงไปอัตโนมัติ โดยราคาจากหยวนเปลี่ยนเป็นเงินบาทอัตโนมัติทันที สินค้าหลายสิบล้านชิ้นเทเข้ามาในตลาดไทยทันที

 

นอกจากสินค้าจำนวนมหาศาลให้นักชอปเลือกสรรกันแบบละลานตาแล้ว ทั้งสองแพลตฟอร์มก็ยังทุ่มงบการตลาดกันแบบสุดตัว ยุคแรกของการซื้อสินค้าออนไลน์ Lazada และ Shopee ทุ่มเงินทำการตลาด ด้วยการแจกคูปองฟรี ลดราคา ลงโฆษณาทีวี จ้างดาราเฉินหลง นักฟุตบอลโรนัลโด้เป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อปลุกให้คนไทยเข้ามาซื้อออนไลน์

 

การปลุกที่ดีที่สุดคือ มีข้อจำกัดน้อยที่สุด คนไม่ต้องคิดมาก มีคูปองฟรีก็ใช้เลย เพื่อทำให้เกิดการซื้อครั้งแรก เมื่อมีครั้งแรกก็เกิดครั้งที่สอง

 

สินค้าจีนเยอะ…มาตรฐานมีไหม?

 

ต้องยอมรับว่า นอกจากจำนวนสินค้าจีนที่เยอะสุดๆ ที่ให้เลือกซื้อมากมายแบบนับไม่ถ้วนแล้ว จุดสำคัญอีกอย่างคือ สินค้าจีนที่ขายในออนไลน์เป็นสินค้าที่เมืองไทยไม่มี บางคนชอบตั้งแคมป์ ก็มีอุปกรณ์ตั้งแคมป์มากมายให้เลือก ชอบถ่ายรูปก็มีอุปกรณ์ถ่ายรูป

 

ในปี 2019 เป็นจุดที่สินค้าจีนเข้ามาตีตลาดประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนมาพลุแตกช่วงโควิดระบาด เพราะทุกคนอยู่บ้านและชอปปิงกัน แม้จะมีโควิด ร้านค้าปิด แต่ระบบโลจิสติกส์ยังเปิดอยู่ สินค้าจีนยังไหลทะลักเข้ามาได้

 

คุณภาวุธเล่าว่า ท่ามกลางการทะลักของสินค้าจีนผ่านช่องทางออนไลน์ ก็เริ่มสังเกตเห็นเรื่องแปลกๆ ในแง่ของมาตรฐานสินค้า สินค้าเริ่มเยอะแบบแปลกๆ เริ่มมีสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน สินค้าที่ควรมีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ก็ไม่มีตรารับรองมาตรฐาน แต่มีสินค้าที่ผิดกฎหมาย อุปกรณ์การพนัน สินค้าการแพทย์ เซ็กส์ทอย ขายเต็ม Lazada และ Shopee”

 

อย่างไรก็ตาม คุณภาวุธบอกว่า ช่วง 2-3 ปีนี้ ภาครัฐเริ่มตื่นตัว และสั่งให้ Lazada และ Shopee ต้องจัดการสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มต้องมีมาตรฐาน มอก. เริ่มมีการกวาดล้างสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์  

 

การไหลทะลักของสินค้าจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ประกอบการไทย เพราะผู้ประกอบการจีนทุบและตีตลาดแบบไม่ยั้ง โดยอาศัยช่องโหว่ทางภาษี

 

ผู้ประกอบการไทยที่นำสินค้าจากจีนมาขาย จะต้องจ่ายภาษีศุลกากรกรขาเข้า ต้องจ่าย VAT ภาษีนิติบุคคล มีต้นทุนสูง ก็ต้องบวกราคาเพิ่ม ต่างจากผู้ประกอบการจีนที่ใช้ช่องโหว่ทางภาษี นำสินค้ามาเก็บไว้ใน Free Trade Zone หรือเขตปลอดอากร ซึ่งเป็นพื้นที่เหมือนกับสินค้ายังไม่ได้เข้ามาในประเทศ เวลาขายก็ขายได้ราคาต่ำกว่า ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรขาเข้า ไม่ต้องเสีย VAT ไม่มีภาษีนิติบุคคลไทย สามารถลดราคาได้

 

ทุนจีนบุก “หายนะ” ธุรกิจไทย?

 

จากที่เริ่มบุกไทยด้วยสินค้ามหาศาลทะลักผ่านช่องทางออนไลน์ แต่หลังจากเศรษฐกิจจีนไม่ดี คนจีนก็เริ่มหนีออกนอกประเทศ เพราะการแข่งขันในประเทศสูงมาก และหนึ่งในจุดหมายปลายทางของคนจีนก็คือ “ประเทศไทย” ที่เป็นดินแดนแห่งโอกาสทางธุรกิจของ “ชาวจีน” ทำให้เราเห็นทุนจีนสยายปีกไปในทุกแวดวงธุรกิจ

 

ตอนนี้ทุนจีนบุกไทยในทุกวงการ ไทยไม่ได้กีดกันทางการค้า วงการผักผลไม้ ตอนนี้ส่งผักผลไม้จากจีนวันเดียวถึงไทย ธุรกิจท่องเที่ยวเจอกับทัวร์ศูนย์เหรียญ ส่วนธุรกิจธุรกิจทุเรียน เมื่อก่อนรับจากไทย ต่อมาเริ่มตั้งล้งและล่าสุดซื้อสวนเลย

 

ตอนนี้จีนได้ขยายอำนาจ แผ่อาณานิคมในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมาในพื้นที่ เช่น ห้วยขวาง รัชดา คนจีนเต็มไปหมด เพราะว่า ตอนนี้การแข่งขันในจีนสูงมาก ขณะที่ไทยอ้าขารับเขาเลยเพราะกฎหมายไทยเปิดกว้างมาก มีทั้งข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มีทั้งการส่งเสริมการลงทุนของ BOI เปิดบริษัทขอบีโอไอ มีพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ มีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดธุรกิจตรงนั้นไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล มีฟรีวีซ่า ไทยมีทุกอย่างที่เอื้อให้จีนเข้ามาในประเทศไทยและอยากอยู่

 

คุณภาวุธเล่าต่อว่า ตอนนี้สถาบันการศึกษาหลายระดับทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัยถูกทุนจีนซื้อไปแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยเกริก และยังมีมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งที่รับกลุ่มคนจีนเข้ามาเรียน 

 

คนจีนกระหายอยากมาอยู่เมืองไทย อยากเรียนภาษาไทย พอเรียนจบแล้ว ทำงานให้กับนักธุรกิจจีนในไทย เพราะพูดไทยได้ เข้าใจวัฒนธรรมไทยทุกอย่าง คอนโดก็มี ซื้ออยู่ได้ เริ่มเข้ามาลุยในอุตสาหกรรมหลายอย่าง เช่น ท่องเที่ยว อาหารผักผลไม้ อุตสาหกรรมหนัก เหล็ก เครื่องปรับอากาศ มากันเต็มไปหมด

 

คุณภาวุธบอกว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ในไทยมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อเริ่มเป็นประเด็น คนก็เหลือบตามองและพบจีนเต็มเมืองไปหมดแล้ว

 

ทุนจีนกินรวบ!…ต้นน้ำ ยัน ปลายน้ำ

 

คุณภาวุธได้เปรียบเทียบการบุกไทยของ “ทุนจีน” ว่าแตกต่างจาก “ทุนญี่ปุ่น” อย่างเห็นได้ชัด เพราะในยุค Lost Decade ของญี่ปุ่น ที่ทุนญี่ปุ่นเคลื่อนทัพมาลงทุนในไทย พวกเขาเข้ามาตั้งโรงงาน ใช้แรงงานไทย มีการถ่ายทอดถ่ายทอดองค์ความรู้ 

 

ญี่ปุ่นรู้ว่าเป็นธุรกิจการผลิต ต้องสร้างซัพพลายเชน เป็นธุรกิจที่เอื้อไปด้วยกัน แต่ทุนจีนพยายามมาด้วยตัวเองทั้งหมด มาพร้อมกับเทคโนโลยี ข้อดีคือทำให้ใช้คนน้อยลง ใช้หุ่นยนต์ และใช้ซัพพลายต่างๆ แต่อนาคต ถ้าไทยไม่ทำอะไร อาจนำเข้าวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงนำแรงงานต่างๆ เข้ามาด้วย ไทยก็จะไม่ได้อะไรเลย!”

 

อย่างไรก็ตาม คุณภาวุธเข้าใจเหตุผลที่จีนตัดสินใจนำแรงงานและซัพพลายเออร์ของตัวเองเข้ามาทั้งหมด เพราะแรงงานจีนเป็นคนทำงานเต็มประสิทธิภาพมากกว่าคนไทย!

 

คนจีนเป็นคนทำงานหนัก ทำงานแบบ 996 คือ เริ่มงาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 9 โมงกลางคืน (3 ทุ่ม) และทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ นายจ้างรู้สึกว่าจ้างคนจีน ได้คนทำงานเต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าจ้างคนไทย ทำงาน 9 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น ทำงาน 5 วัน ทำงานแบบสบายๆ คนไทยทำงานคนละสไตล์กับจีน ดังนั้น เค้าจึงจ้างคนจีนดีกว่า มีประสิทธิภาพดีกว่า

 

นอกจากประเด็นแรงงานแล้ว ทุนจีนยังนำวัตถุดิบทุกอย่างเข้ามาอีกต่างหาก

 

“จีนเข้ามาทำธุรกิจในไทย ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เช่น ไก่ทอดขายชิ้นละ 15 บาท เป็นไก่นำเข้ามา เอาน้ำมันเข้ามาด้วย ไอติม 15 บาท เอาวัตถุดิบเข้ามาทั้งหมด ไม่ได้พึ่งวัตถุดิบในประเทศไทยเลย”

 

สร้างระบบเศรษฐกิจ (จีน) ซ้อนระบบเศรษฐกิจ (ไทย)

 

คุณภาวุธฉายภาพต่อว่า การทำธุรกิจของคนจีนในประเทศไทยยังทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจซ้อนเศรษฐกิจ เช่น ที่ห้วยขวาง รัชดา มีระบบเศรษฐกิจจีนซ้อนระบบเศรษฐกิจไทยอยู่ คนจีนซื้อของกันเอง มีร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านตัดผม คนจีนอยู่เต็มไปหมด 

 

เขาจ่ายเงินด้วย WeChat Pay หรือ Alipay โอนเงินเลย เงินไม่เข้าระบบเศรษฐกิจไทย แบงก์ชาติไทยก็ไม่เห็น พวกเขาสามารถโอนเงินกลับจีนได้เลย การจับจ่ายต่างๆ เงินไม่เข้าระบบเศรษฐกิจไทยเลย คนจีนเข้ามาอยู่มาใช้ทรัพยากรของไทย และไม่ได้เสียภาษีให้ไทย

 

นอกจากธุรกิจขายปลีก บริการในย่านห้วยขวางแล้ว คุณภาวุธยังยกตัวอย่างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่พบว่ามีทุนจีนกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเช่นกัน

 

ผมขอยกตัวอย่าง คนจีนเปิดบริษัทโดยใช้นอมินีคนไทยถือหุ้น 55% ที่เหลือเป็นจีน เคยเห็นกลุ่มบริษัททำก่อสร้างหมู่บ้าน หลังละ 100 ล้าน มีเป็น 100 หลัง บริษัทเป็นชื่อจีน รายได้น้อยมาก ขาดทุน แต่สามารถก่อสร้าหมู่บ้าน มีค่าใช้จ่าย บริษัทเหล่านี้ เงินไม่ได้หมุนเวียนในไทย และเข้าใจว่า บริษัทก่อสร้างน่าจะเป็นจีน แรงงานอาจใช้คนจีน โครงการนั้นอยู่ติดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต้องตรวจสอบว่าบริษัทไหนมีนอมินีหรือเปล่า

 

[Next] รับมือทุนจีนอย่างไรให้รอด?

——————————

“ปัญหามีอยู่ข้อเดียวคือประเทศไทยมีกฎหมาย แต่กฎหมายไม่ถูกนำมาบังคับใช้”

——————————

 

คุณภาวุธชี้ว่า ปัญหาของทุนจีนบุกไทยแบบกินรวบครั้งนี้เกิดจาก ทำไมสินค้าจีนทะลักเข้าไทยเยอะ และเป็นของไม่มีคุณภาพ ทำไมร้านซูเปอร์มาร์เก็ตจีนมาเปิดได้ และยกสินค้าจากจีนมาเลย ไม่มี มอก. ไม่มี อย. เกิดจากการที่กฎหมายไทยไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเจ้าหน้าที่บางส่วนหย่อนยานและไม่ได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เช่น บริเวณด่านชายแดน มีบริษัทรับนำเข้าสินค้าจากจีน สามารถเคลียร์ปัญหาเรื่องสินค้าต้องติดมาตรฐาน มอก. อย. ได้ คุณสามารถเสิร์ชหาชื่อบริษัทให้บริการเหล่านี้ได้เลย” 

 

เมื่อมีบริการแบบนี้ ทุกคนก็ใช้บริการ ทำให้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพทะลักเข้ามา เพราะกฎหมายไทยไม่เอาจริงเอาจัง การเข้ามาทำงานก็ใช้นอมินี ไทยมีกฎหมาย แต่มีการมองข้ามกฎหมายไป ทุกวันนี้ กฎหมายไทยหย่อนยาน เพราะเจ้าหน้าที่อาจมีการรับสินบน ถ้าเจ้าหน้าที่เข้มแข็ง เอาจริงเอาจัง และกวดขัน ผมเชื่อว่าปัญหานี้จะน้อยไปเกินครึ่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นว่าทำไมเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

 

คุณภาวุธเล่าต่อว่า สำหรับช่องทางออนไลน์อย่าง Lazada และ Shopee ตอนนี้มีสินค้าไม่ถูกกฎหมายของจีนทะลักเข้ามามาก โดยจากการพูดคุยกับฝ่าย มอก. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทราบว่า มีคนฟ้องร้องคดีกับ Lazada และ Shopee หลายร้อยคดี

 

คนไทยเจอสินค้าก๊อปจากจีนเข้ามาขาย มีการฟ้อง แต่ไม่มีการเอาจริงเอาจัง ถ้าเป็นผมจะปิดเลย 1 วันเคลียร์ให้หมด แล้วค่อยมาเปิด ถ้ามีอีก ก็จะปิดอีก ต้องสั่งสอนให้เค้ารู้ว่าการทำอย่างนี้ผิด เราต้องเด็ดขาด ถ้าไม่เด็ดขาด ทำได้ปุ๊บก็เกิดช่องโหว่ เป็นช่องโหว่ที่สินค้าทางออนไลน์ทะลักเข้ามาผ่าน” 

 

กฏหมายคือสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยมีอำนาจในการจัดการช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้ โดยไม่รวม Temu ที่เป็นช่องทางอยู่นอกอาณาจักร ไทยควบคุมไม่ได้ แต่จริงๆ ไทยก็ควบคุมได้ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สามารถบล็อกได้ ไม่ให้คนไทยใช้ เพราะละเมิดกฎหมายเรา เราต้องใช้ไม้แบบนี้ ประเด็นคือ ผู้บริหารประเทศเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ พอไม่รู้เรื่อง การจัดการก็ไม่เด็ดขาด และตัวเองไม่ได้เห็นผลกระทบว่าเกิดอะไรขึ้น

 

คุณภาวุธย้ำว่า สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ ทำอย่างไรให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เจ้าหน้าที่ทำอย่างไรให้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

 

เราไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ แต่เอากฎหมายเดิมให้ดี เพียงแต่กฎหมายวันนี้ เราหวังพึ่งเจ้าหน้าที่ภาครัฐเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ภาครัฐบางคนอาจไม่จริงจังในการแก้ปัญหา

 

Traffy Fondue ดึงประชาชนฟ้องเรื่องผิดกฎหมาย

 

ดังนั้น คุณภาวุธจึงเสนอให้นำระบบ Traffy Fondue มาใช้เพื่อรับแจ้งเหตุพบสินค้า-ธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งระบบนี้เป็นแพลตฟอร์มที่ภาครัฐพัฒนาขึ้นเพื่อสื่อสารปัญหาของเมืองระหว่างประชาชนและหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยปัจจุบัน กรุงเทพมหานครนำมาใช้ ซึ่งแต่ละปีมีคนแจ้งเหตุร้องเรียนนับแสนๆ เคส และบางเคสสามารถแก้ปัญหาจบได้ในเวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ

 

คุณภาวุธเสนอให้ทำความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักคณะกรรมการอาหารและยา โดยให้ทุกฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนผ่านแพลตฟอร์มนี้ พร้อมกับโปรโมตการแจ้งเหตุผ่านแพลตฟอร์มให้แก่ประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตา

 

จากนั้นเราจะโปรโมตให้ประชาชนรู้วิธีการแจ้งเหตุ เช่น คุณเดินไปดูชุมชนในละแวกแถวๆ บ้านคุณ คุณเจอธุรกิจอะไรประหลาดๆ คุณเจอร้านหมาล่า คุณไปถ่ายรูปใบทะเบียนการค้ามีหรือเปล่า เรื่องส่งไปกรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้ เช็กว่าทะเบียนการค้าเหล่านี้ ใครเป็นกรรมการบริษัท คนเหล่านี้เป็นคนไทยหรือต่างชาติหรือนอมินี เดินเข้าไปซูเปอร์มาร์เก็ตจีน ถ่ายรูปสินค้าเลยว่ามี อย. หรือเปล่า ถ่ายปุ๊บแจ้งมาเลย เรื่องเหล่านี้จะส่งไปให้ อย. จัดการ

 

ผมคิดว่าตัวระบบ Traffy Fondue น่าจะช่วยให้กฎหมายเราศักดิ์สิทธิ์ขึ้นได้ โดยใช้ภาคประชาชนเข้าไปร่วมแจ้งและสอดส่องปัญหานี้ อันนี้ผมว่าเป็นแนวทางที่น่าสนใจทำมาก” 

 

ตั้งรับ-จับมือ-รุกกลับ

 

คุณภาวุธแนะนำแนวทางจัดการกับปัญหาทุนจีนขยายอาณาจักรเต็มเมืองไทยด้วยกลยุทธ์ “ตั้งรับ จับมือ รุกกลับ”

 

  • “ตั้งรับ”

 

ต้องเริ่มสำรวจการที่ธุรกิจต่างชาติที่บุกประเทศไทย และทำผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจไทยบ้าง โดยคุณภาวุธเสนอให้ธนาคารต่างๆ ที่แทบทุกแห่งมีหน่วยงานวิจัย (รีเสิร์ช) ของตัวเอง ทำการวิจัยวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบของทุนจีนผิดกฎหมายที่มีต่อแต่ละอุตสาหกรรมของไทย 

 

ผมได้มีโอกาสคุยกับคุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ว่า ให้บอกธนาคารที่มีหน่วยงานรีเสิร์ชอยู่แล้วว่ามีหัวข้อที่เราต้องทำรีเสิร์ชร่วมกัน คือ ผลกระทบกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาบุกในไทย แบงก์นี้ทำอุตสาหกรรมนั้น แบงก์นั้นทำอีกอุตสาหกรรม แยกกันทำ ซึ่งสุดท้าย เราจะเห็นวันนี้ผลกระทบกับประเทศไทยมีเท่าไหร่ เพื่อให้เห็น Scope ก่อนว่า เกิดอะไรขึ้น และมีข้อเสนอแนะอย่างไร” 

 

จากนั้น ต้องมีการสอดส่องดูแลผลกระทบ ซึ่งใช้ Traffy Fondue ดึงให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น 

 

นอกจากนี้ ไทยต้องปรับกฎหมายเพื่อปกป้องธุรกิจท้องถิ่น เพราะกฎหมายบางอย่างอาจไม่ทันสมัย เช่น อาจต้องขึ้นภาษีบางอย่าง เหมือนกับที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ดำเนินการเพื่อปกป้องธุรกิจท้องถิ่น โดยในส่วนของอินโดนีเซียมีการปรับกฎหมายกำหนดห้ามสินค้าต่างชาติที่ราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ เข้ามา 

 

  • “จับมือ”

 

คุณภาวุธอธิบายว่า การจับมือกัน คือ รัฐกับเอกชนต้องร่วมมือกัน และแบ่งงานกันทำ

 

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตื่นตัวมากนะครับ ผมมีโอกาสได้ไปคุยกับพี่ๆ เขา ต้องคุยกับภาครัฐมากขึ้น และวางแผนว่าภาครัฐและเอกชนจะทำงานร่วมกันในเรื่องนี้อย่างไร จากนั้นเราก็ไปคุยกับรัฐบาลจีนผ่านทางสถานทูต ทางเอกชนได้มีโอกาสไปคุยกับท่านทูตจีนแล้ว ท่านทูตก็ชัดเจนว่า วันนี้มีความกังวลที่คนไทยหลายคนเริ่มบอยคอยคนจีน เริ่มมองภาพลบกับคนจีนแล้ว ซึ่งผมคิดว่า ประเทศจีนคงไม่ชอบหรอกครับ ฉะนั้นควรจะมาคุยบนโต๊ะเลยว่าเรื่องนี้เราควรจะมีอะไรบ้าง เราช่วยกันได้ ซึ่งเขาพร้อมเจรจา เพราะถ้าปล่อยไปปุ๊บ คนไทยมองไม่ดี ก็ไม่ดีกับจีนนะครับ

 

หลายคนโดยเฉพาะคนฝั่งภาครัฐกังวล และเกรงใจจีน ผมว่ารัฐบาลอย่าเพิ่งกลัว เราอาจจะแบ่งหน้ากันทำก็ได้ บางอย่างให้เอกชนไปคุย รัฐบาลรอก่อน ฉะนั้นไม่ใช่เป็นทางการมากเกินไป หลังคุยกับจีน เราก็ต้องกลับมาดูว่า เราจะร่วมมือกันอย่างไรต่อไป” 

 

คุณภาวุธพูดต่อถึงเรื่องการพัฒนาให้ผู้ประกอบการไทยเก่งขึ้น ซึ่งทุกวันนี้ มีเทคโนโลยีมากมาย และมีหน่วยงานภาครัฐที่ทำด้านเทคโนโลยี มีสมาคมเทคโนโลยี และสมาคมสตาร์ทอัพ มีเด็กรุ่นใหม่ๆ ทำเทคโนโลยี

 

คนไทยเก่งไปหมดเลย แต่มันมีช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีที่คนไทยทำกับการผลักดันเทคโนโลยีไปให้คนไทยใช้ ฉะนั้นรัฐก็ต้องผลักดันเข้าไปให้การเกษตร การค้าต่างๆ หันมาใช้เทคโนโลยีคนไทย มันจะช่วยการขาดดุลทางดิจิทัลไปได้เยอะด้วย พอผู้ประกอบการไทยเก่งขึ้น เขาก็มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น” 

 

  • “รุกกลับ” 

——————————

“รุกกลับ เปิดช่องให้สินค้าไทยไปต่างประเทศมากขึ้น”

——————————

 

สำหรับเรื่องนี้ คุณภาวุธบอกว่า เป็นการรุกกลับสู่ตลาดอาเซียนผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Lazada, Shopee และ TikTok ต้องกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านี้อยู่แล้วตระหนักว่า “คุณไม่ได้ถูกขีดให้ต้องอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น”

 

แพลตฟอร์มเหล่านี้มันเชื่อมต่อกันหมดทุกๆ ประเทศ เราเปิดก๊อก เอากำแพงออก ให้สินค้าจากไทยไปต่างประเทศมากขึ้น ไหลไปมาเลเซีย ไหลไปฟิลิปปินส์ ไหลไปสิงคโปร์” 

 

วันนี้ Shopee มีโปรแกรมเรียกว่า SIP (Shopee International Platform) คุณขายของใน Shopee สามารถกดปุ่มแก๊กเดียว สินค้าคุณไปมาเลเซีย ไปสิงคโปร์ ไปฟิลิปปินส์ได้เลย วันนี้เป็นโครงการนำร่องเล็กๆ ฉะนั้น วันนี้รัฐอาจจะต้องไปกระตุ้น จับมือกับพวกบรรดาแพลตฟอร์มต่างๆ จากเดิมที่แพลตฟอร์มนี้เป็นช่องทางในการโดนรุกเข้ามา เรา Reverse กลับ ใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการไทยเอาสินค้าออกไปต่างประเทศ จากนั้นก็ไปทำเกี่ยวกับเรื่อง Fulfillment Warehouse ระบบโกดังเก็บสินค้าในประเทศปลายทาง สินค้าไหนขายดี เอาไปกองไว้ที่โน่น แล้วก็ทำการตลาดที่ประเทศนั้น ขายได้ปุ๊บ ของส่งถึงมือลูกค้าภายใน 2 วัน ก็จะทำให้การขายของผู้ประกอบการไทยสามารถรุกกลับออกไปได้ ออกไปยังในอาเซียน ผมเชื่อว่า นี่เป็นวิธีการที่เราทำให้เราขายได้ดีมากขึ้น

 

นอกจากนี้ คุณภาวุธแนะนำให้ผลักดันผู้ประกอบการให้เก่งขึ้น โดยในส่วนของการขายออนไลน์ เจ้าของธุรกิจไม่ค่อยมีเวลาทำเรื่องนี้เอง ดังนั้นจึงต้องผนึกกำลังกับ “นักรบดิจิทัล” คือ บริษัทคนรุ่นใหม่ที่ทำงานด้านดิจิทัล ที่มารับผิดชอบงานออนไลน์ 

 

——————————

“วันนี้ มีบริษัทเด็กรุ่นใหม่ที่ทำบริษัทเอเจนซีด้านดิจิทัล เรามาสร้างพวกเขาให้เป็นนักรบดิจิทัล แบ่งกันรับผิดชอบเป็นรายอุตสาหกรรม” 

——————————

 

วันนี้ มีบริษัทเด็กรุ่นใหม่ที่ทำบริษัทเอเจนซีด้านดิจิทัล เรามาสร้างพวกเขาให้เป็นนักรบดิจิทัล แบ่งกันรับผิดชอบเป็นรายอุตสาหกรรม ตอนนี้เรามี 100 บริษัท ให้ 1 บริษัท รับผิดชอบ 100 ร้านค้า นำสินค้าขายผ่านออนไลน์ วัดผลด้วยยอดขาย เราก็จะมีเป็นร้านค้าไทยเป็นหมื่นๆ ร้านที่ขายสินค้าออกไปต่างประเทศได้ โดยมีบริษัทตัวกลางคอยดูแล แล้วเค้าก็มีรายได้ด้วย เพราะเค้าขายได้ ประเทศไทยก็มีรายได้ด้วยเหมือนกัน

 

แต้มต่อ SMEs ไทยในตลาดอินเตอร์? 

 

คุณภาวุธตอบคำถามเกี่ยวกับศักยภาพของสินค้าไทยในต่างประเทศในยุคปัจจุบันว่า “โครตได้เปรียบเลย” พร้อมเล่าว่า จากที่เคยร่วมงานกับรัฐบาลมาเลเซียทำโครงการ E-Cross Border แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน พบว่า สินค้าของมาเลเซียที่จะนำมาขายไทยมีหลายตัวที่ไม่ค่อยถูกจริตคนไทยนัก และอาจไม่สามารถเข้าถึงคนไทยทั้งประเทศได้ ต่างจากสินค้าไทยที่เป็นที่ชื่นชอบของคนมาเลย์

 

เพื่อนมาเลย์ชอบมากเลย ยาดม ขนม อาหารต่างๆ แม้กระทั่งผ้าอนามัยที่เพื่อนผมบอกให้ซื้อไปฝากเขาหน่อย ไทยเรามีโรงงานผลิตสินค้าเยอะนะครับ แต่เราไม่ได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่ ฉะนั้น นี่คือโอกาสที่เราสามารถผลักดันสินค้าต่างๆ เหล่านี้ออกไป รวมถึงสินค้า SMEs ผมว่าเรามีโอกาส โดยเฉพาะสินค้าที่เราเป็นผู้ผลิตเอง อาหารต่างๆ เราได้เปรียบ

 

วันนี้ต้องกลับมาดูว่า กลยุทธ์ของเราที่จะผลักดันผู้ประกอบการ เรามีผู้ประกอบการอยู่ 2-3 ล้านราย เราคงช่วยทั้ง 2-3 ล้านรายไม่ได้ แต่เราต้องมาแบ่งเป็นกรุ๊ป เป็นชั้น (Layer) ว่า กลุ่มไหนเราสามารถช่วยเค้าได้ทันที กลุ่มไหนที่เราสามารถผลักดันเค้าได้ กลุ่มไหนที่ไม่ไหวแล้ว คุณจะต้องเปลี่ยนตัวเองไปทำอย่างอื่น โดยเฉพาะกลุ่มที่นำสินค้าเข้ามาจากจีน คุณไปทำอย่างอื่นเถอะ เพราะถ้าคุณยังทำอย่างนี้อยู่ปุ๊บ คุณสู้เขาไม่ได้หรอก เพราะว่าด้วยศักยภาพคุณ ด้วยสินค้าคุณเอง คุณอาจจะสู้ไม่ได้”

 

——————————

“ประสิทธิภาพ สำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการยุคนี้”

——————————

 

ในฐานะที่ทำธุรกิจเองและลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้วย คุณภาวุธมองว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการในยุคนี้ คือ ประสิทธิภาพ (Efficiency) โดยยุคนี้จำเป็นใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี การตลาดออนไลน์ และ AI ให้ได้มากที่สุด

 

ถ้ายังทำธุรกิจเหมือนเดิมอยู่ ยังใช้กระดาษอยู่ ยังทุกอย่างยังใช้วิธีการถามเอา ยังคุยกันผ่านไลน์อยู่ธรรมดา ผมว่าอันนี้อันตรายมาก

 

คุณภาวุธได้แบ่งงานของธุรกิจเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1. ส่วนหน้าบ้าน หรือฝ่ายที่ต้องพบกับลูกค้า และ 2. ส่วนหลังบ้าน ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุน เช่น ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบุคคล เป็นต้น พร้อมกับแนะนำวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจไว้อย่างน่าสนใจ คือ 

 

1. ต้องบุกทุกช่องทางออนไลน์

 

ในส่วนงานหน้าบ้าน คุณภาวุธย้ำว่า ถ้ามัวแต่ขายของผ่านหน้าร้านปกติ เรียกได้ว่า อันตรายแล้ว! เพราะทุกวันนี้ คนขายของจะต้องไปทุกช่องทางออนไลน์

 

“วันนี้ช่องทางการขายของออนไลน์มีเยอะมากเลย เรามีทั้ง Lazada, Shopee, TikTok, Facebook และ Live ต่างๆ เต็มไปหมด หรือแม้แต่เว็บไซต์ตัวเอง คุณต้องไปทุกช่องทาง

 

วันนี้เรามีตลาดออนไลน์ที่สามารถเรียกลูกค้าจากทั่วโลก และสามารถคำนวณได้ว่า เราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่เพื่อให้ได้ลูกค้ามา 1 คน และได้ยอดขายเท่าไหร่ ทุกอย่างคำนวณได้หมด เพราะว่าการตลาดออนไลน์เดี๋ยวนี้ Super Efficient คือมันดีมากๆ มันเวิร์กมากๆ แต่หากคุณไปเปิดร้านค้าในห้าง ร้านขายของ ก็ไม่รู้เลยว่า วันนึงจะมีลูกค้ากี่คน ถ้าฝนตกก็ซวยเลย ขายไม่ได้ แต่ออนไลน์วันนี้ อยากได้ลูกค้า 100 คน ผมคำนวณเลย ลูกค้า 1 คน ผมจ่าย 5 บาท ผมอยากได้ 100 คน ผมจ่าย 500 บาท ลูกค้า 100 คนเข้ามาทันที คำนวณต่อ คนหนึ่งซื้อเฉลี่ยกี่บาท ผมสามารถคำนวณยอดขายวันนั้นได้ทันที โดยที่ผมยังไม่ได้เปิดขายของด้วยซ้ำ ทุกอย่างคำนวณได้หมด สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้” 

 

2. นำ AI มาใช้ประโยชน์

 

คุณภาวุธบอกว่า ธุรกิจจำเป็นต้องนำ AI มาใช้ในทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยตัวเองนั้นก็พยายามทำเป็นบริษัทต้นแบบ ที่ใช้ AI กับทุกแผนก 

 

วันนี้คุณจะรอโทรศัพท์รับลูกค้า ไม่ทันแล้ว วันนี้ลูกค้าแชทเข้ามา ถ้าเกิดธุรกิจคุณดี คุณต้องมีแชทบอทเข้ามาช่วย มีแชทบอท 1 ตัวอาจแทนพนักงานได้ 10 คนเลย ทุกอย่างตอบอัตโนมัติ ที่เหลืออาจจะมีแค่คนๆ เดียวคอยคัดกรอง และคอยตอบให้

 

ผมใช้ AI กับทุกแผนก เช่น ฝ่ายขาย เอา AI มาใช้เทรนวิธีการคุยกับลูกค้า ให้พนักงานเราได้เทรนก่อนว่า ลูกค้ารายนี้ต้องคุยยังไงดี ต้องพูดยังไงดี เราควรจะพูดแบบไหนให้เขาซื้อ เราเอา Profile ลูกค้าใส่ AI ตอบมาให้เลย ลูกค้าแบบนี้ พูดแบบนี้ ส่วนฝ่ายการตลาด วิเคราะห์ลูกค้า วิเคราะห์ Target Market ทำการตลาด ยิงแบบไหน ยิงอะไร ยังไง

 

ถ้าเกิดทุกคนในประเทศใช้เครื่องมือ AI แบบนี้ โอ้โห ประเทศไปไกลเลย เพราะประเทศเราผลิตเทคโนโลยีไม่ได้ ฉะนั้นต้องเป็นคนบริโภคเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด” 

 

ฝากบอก SMEs ไทยที่กำลังหมดหวัง

——————————

“หลายคนชอบเอาคำ ไม่รู้ ไม่เป็น มากั้นความเจริญของตัวเอง”

——————————

 

วันนี้ ผมว่าเทคโนโลยีเป็นตัวสำคัญ ออนไลน์ไม่ใช่ทางเลือกแล้ว แต่เป็นทางรอดและทางหลักของหลายๆ ธุรกิจ และหลายคนชอบเอาคำ ไม่รู้ ไม่เป็น มากั้นความเจริญของตัวเอง วันนี้ต้องหยุดพูดคำว่า ไม่รู้ ไม่เป็น ผมแก่เกินไปแล้ว คำเหล่านี้ถ่วงความเจริญคุณ

 

ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องรู้ 100% ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการอาจรู้แค่ 10-20% พอ แต่คุณก็ต้องนำพาทีมคุณไปด้วย จ้างเด็กรุ่นใหม่เข้ามา โดยเฉพาะองค์กรบางอย่างที่องค์กรเก่าแก่เปิดมา 10-30 ปี คุณอาจจะต้องหาคนรุ่นใหม่ๆ เข้าไป เพื่อไปเปลี่ยนองค์กรคุณ ถ้าวันนี้เกิดคุณยังอยู่แบบเดิม ผมว่าอันตรายมาก เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ สิ่งที่คุณที่ทำเวิร์กมาเมื่อ 10-20 ปีก่อน วันนี้มันไม่ใช่แล้วนะ โลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การที่คุณอยู่แบบเดิมมาตลอด 20-30 ปี คือความเสี่ยงสูงมาก ฉะนั้น วันนี้ต้องปรับตัวเองให้ได้ ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย” 

 

นอกจากกระตุกให้ SMEs คิดเปลี่ยนแล้ว คุณภาวุธ ได้ฝากทิ้งท้ายว่า วันนี้ ภาครัฐมีส่วนสำคัญมากๆ เพราะว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากภาครัฐอ่อนแอเกินไป เจ้าหน้าที่ภาครัฐอ่อนแอเกินไป 

 

ถ้ารัฐแข็งแรงมากขึ้น รัฐมีการป้องกันผู้ประกอบประเทศไทยที่ดีขึ้น ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่ดีขึ้น ผมเชื่อว่า ผู้ประกอบการไทย เรามีเยอะอยู่แล้ว ทำให้เขาจับ ให้แมตช์กัน และผมเชื่อว่า เราจะแข็งแรงขึ้นด้วยการปกป้องจากภาครัฐ แล้ว SMEs จะเดิน ผู้ประกอบการไทยจะเดินไปได้อย่างสบาย

 

บทสัมภาษณ์ คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอม กรุ๊ป จำกัด


สัมภาษณ์โดย เฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวลธ์ มี อัพ จำกัด

 

#WealthMeUp

 

Related Stories

amazon anti fatigue mats