×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

4O+ ยังไม่สายเริ่มวางแผนเกษียณอย่างมั่นใจ

281

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

“เคยรู้สึกกังวลบ้างหรือไม่ว่าเริ่มวางแผนเกษียณช้าเกินไป” หลายคนมักคิดเช่นนั้นเมื่อก้าวเข้าสู่วัย 40 

 

ความจริงที่น่าสนใจ คือ หลายครอบครัวในปัจจุบันพึ่งพารายได้จากคนๆ เดียว ซึ่งต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูสมาชิกทั้งครอบครัว หากไม่มีการพูดคุยและวางแผนร่วมกัน เงินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาอาจหมดไปกับการดูแลครอบครัว จนไม่เหลือพอสำหรับวัยเกษียณของตัวเอง

 

แต่อย่าเพิ่งท้อ แม้จะเริ่มช้า ก็ยังไปถึงเป้าหมายได้ เพียงแต่ต้องเพิ่มความพยายามในการศึกษาและวางแผนการลงทุนให้รอบคอบมากขึ้น ที่สำคัญ คือ ต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ เพราะนั่นอาจเสี่ยงยิ่งกว่าการเริ่มต้นช้า

 

“ลงทุนนิยม เกษียณสุข The Series” สัมภาษณ์คุณนิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ นักวางแผนการเงิน CFP® จะพาไปเรียนรู้ 6 ขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้วางแผนเกษียณได้อย่างมั่นใจ แม้จะเริ่มต้นในวัย 40+ ก็สามารถมีเงินเพียงพอ สำหรับชีวิตหลังเกษียณที่ใฝ่ฝัน

 

ทำไมคนส่วนใหญ่เริ่มคิดเรื่องเกษียณตอนอายุ 40?

 

การวางแผนเกษียณในวัย 40+ เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เช่น 40% ของคนอเมริกันเริ่มวางแผนเกษียณอย่างจริงจังเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งคุณนิภาพันธ์ อธิบายว่ามีสาเหตุหลัก 2 ประการ



1. มักคิดว่าเรื่องเกษียณอายุเป็นเรื่องที่ไกลตัว 


ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ วัย 20 ปีต้นๆ เมื่อให้คิดถึงการเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี ซึ่งมีเวลาอีกประมาณ 30-40 ปี ก็มีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว   นอกจากนี้ ช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงานมีทั้งความฝัน ความต้องการและความปรารถนามากมาย บ้างอยากมีบ้านหลังแรก อยากมีรถคันแรก เดินทางท่องเที่ยว บางคนกำลังวางแผนสร้างครอบครัวและต้องการเก็บเงินเพื่อการศึกษาของลูก ทำให้การวางแผนเกษียณจึงกลายเป็นเรื่องของ “วันพรุ่งนี้” ไปโดยปริยาย

 

2. เรื่องของรายได้และรายจ่าย “ไม่สมดุลกัน” 


โดยในช่วงต้นของชีวิตการทำงานที่รายได้ยังน้อย แต่กลับมีค่าใช้จ่ายมากมาย ทำให้แทบไม่เหลือเงินเก็บ “เมื่อเงินออมเหลือน้อย จึงไม่ได้นึกถึงเรื่องการวางแผนเพื่อเกษียณ” คุณนิภาพันธ์ บอก 

 

พูดง่ายๆ เมื่อไม่มีเงินเหลือพอที่จะเก็บ การวางแผนเกษียณจึงกลายเป็นเรื่องที่ถูกผลักไปอยู่ท้ายๆ ของลำดับความสำคัญ ด้วยความคิดที่ว่า “เดี๋ยวค่อยเก็บ ตอนนี้ขอใช้ก่อน” จนกระทั่งอายุล่วงเลยเข้าสู่วัย 40 จึงเริ่มตระหนักว่าถึงเวลาต้องวางแผนเกษียณอย่างจริงจังเสียที เหมือนกับที่ Morgan Stanley รายงานว่า 64% ของคนกลุ่ม Millennials ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันมากกว่าการเก็บเงินเพื่ออนาคต แต่สิ่งสำคัญ คือ การตระหนักว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น เพียงแต่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบมากขึ้น

 

ทันหรือไม่? เริ่มวางแผนเกษียณตอนอายุ 40+

 

“ไม่มีคำว่าสายเกินไป ทุกคนเริ่มต้นวางแผนเกษียณได้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่หากยิ่งเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับเรามากเท่านั้น” คุณนิภาพันธ์ ย้ำชัดถึงการวางแผนเกษียณ เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ ยิ่งปลูกเร็วยิ่งได้เห็นผลเร็ว แต่ถึงจะเริ่มปลูกช้า ต้นไม้ก็ยังเติบโตได้ เพียงแต่ต้องดูแลเอาใจใส่มากขึ้น ไม่มีคำว่าสายเกินไป เริ่มเมื่อไหร่ได้ก็ให้เริ่มทันที ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็เริ่มต้นได้เสมอ

 

หากมองอีกมุมหนึ่ง แทนที่จะรอให้ถึงจุดที่ต้องเร่งวิ่งไล่ตามความฝันวัยเกษียณ ก็สามารถเริ่มก้าวเล็กๆ ได้ตั้งแต่วันนี้ เช่น แทนที่จะคิดว่า “เกษียณยังอีกนาน” ลองมองว่าทุกวันที่ผ่านไป คือ โอกาสที่จะสร้างความมั่นคง พลังของดอกเบี้ยทบต้นทำให้เงินเพียงวันละ 100 บาท เติบโตเป็นหลักล้านบาทได้ในระยะยาว หรือแทนที่จะกังวลว่า “รายได้น้อย เก็บไม่ได้” ลองเริ่มจากการจัดสรรรายได้แบบ 50/30/20 คือ 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น 30% สำหรับความสุขส่วนตัว และ 20% สำหรับการออมและลงทุน

 

ตามข้อมูลจาก Vanguard พบว่าการเริ่มออมเงิน 10% ของรายได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี จะทำให้มีโอกาสเกษียณสบายมากกว่าการเริ่มออม 20% ที่อายุ 45 ปี เพราะได้ประโยชน์จากการลงทุนระยะยาวและดอกเบี้ยทบต้น

 

6 ขั้นตอนวางแผนเกษียณอย่างมั่นใจ สำหรับคนวัย 40+

 

ขั้นตอนที่ 1 : กำหนดอายุเกษียณและอายุขัย

 

เริ่มจากการกำหนดกรอบเวลาที่ถูกต้อง เหมือนการวางแผนเดินทางที่ต้องรู้ว่าเราจะเดินทางนานแค่ไหน โดยพิจารณาจากสถิติอายุขัยทั่วไป ซึ่งปัจจุบันผู้หญิงไทยมีอายุขัยเฉลี่ย 85 ปี ส่วนผู้ชายประมาณ 78–80 ปี แต่ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือ พันธุกรรมในครอบครัว โดยสำรวจประวัติครอบครัวเช่น เป็นผู้หญิงและมีคุณย่า คุณยายที่อายุยืนถึง 95 ปี ก็ควรวางแผนการเงินให้ครอบคลุมถึงอายุ 90 ปีขึ้นไป เพราะมีแนวโน้มสูงที่คนรุ่นถัดมาจะมีอายุยืนยาวเช่นกัน 

 

ขั้นตอนที่ 2 : เงินที่ต้องการใช้หลังเกษียณ

 

ควรมีเงินใช้หลังเกษียณประมาณ 70% ของค่าใช้จ่ายสุดท้ายหรือเงินเดือนสุดท้าย และต้องคำนึงถึงผลกระทบของเงินเฟ้อที่จะทำให้ค่าของเงินลดลงเรื่อยๆ เช่น ปัจจุบันมีเงินเดือนเท่ากับ 50,000 บาท แล้วก็ประเมินว่าในเดือนสุดท้ายที่เกษียณจะมีเงินเดือนอยู่ที่เท่าไหร่ จากนั้นก็นำ 70% มาคำนวณ หรืออาจะประเมินจากค่าใช้จ่ายปัจจุบันก็ได้ แล้วบวกของเงินเฟ้อ

 

คุณนิภาพันธ์ ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ที่หมายถึงภาวะที่ข้าวของราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อำนาจซื้อของเงินลดลง เช่น ปัจจุบันใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท ด้วยผลของเงินเฟ้ออีก 20 ปีข้างหน้า เงินจำนวน 30,000 บาทอาจจะด้อยค่าลง (ซื้อข้าวของก็ไม่ได้เท่าวันนนี้) จึงต้องมีเงินมากขึ้น 

 

“เพราะทุกๆ 20 ปี เงินที่ต้องมีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เช่น ปัจจุบันค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท อีก 20 ปีข้างหน้าจะต้องมีประมาณเดือนละ 60,000 บาท (ปีละ 720,000 บาท) จากนั้นก็ประเมินว่าหลังเกษียณจะมีชีวิตไปอีกกี่ปี สมมติว่ามีอายุไปอีก 20 ปี ก็จะต้องมีเงินไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณประมาณ 14.4 ล้านบาท (720,000 คูณ 20) ซี่งเป็นจำนวนเงินที่ต้องมีสำหรับการเกษียณ”

 

ขั้นตอนที่ 3 : สำรวจเงินออมและเงินลงทุน

 

การประเมินความพร้อมทางการเงินเริ่มจากการสำรวจเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน แล้วคำนวณว่าเงินก้อนนี้จะเติบโตเป็นเท่าไหร่เมื่อถึงวันเกษียณ เช่น ตอนนี้มีเงินเก็บ 3 ล้านบาท หากนำไปลงทุนเมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี เงินก้อนนี้อาจโตเป็นประมาณ 6 ล้านบาท แต่จากที่คำนวณไว้ว่าต้องใช้เงินหลังเกษียณถึง 14.4 ล้านบาท หมายความว่ายังขาดอีก 8.4 ล้านบาท จึงต้องมาวางแผนว่าจะต้องเก็บออมและลงทุนเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อให้มีเงินครบตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 20 ปีที่เหลือ

 

ขั้นตอนที่ 4 : คำนวณหาส่วนต่างที่เงินยังไม่ครบ

 

เมื่อรู้ตัวเลขเป้าหมายและสิ่งที่มีอยู่ ขั้นตอนต่อไป คือ การคำนวณส่วนต่าง เช่น หากต้องการเงิน 14.4 ล้านบาท แต่คาดว่าเงินที่มีอยู่จะเติบโตเป็น 6 ล้านบาท แสดงว่ายังขาดอีก 8.4 ล้านบาท

 

ขั้นตอนที่ 5 : วางแผนการออมและลงทุน

 

นำตัวเลขส่วนต่างมาวางแผนว่าจะต้องออมและลงทุนเพิ่มเท่าไหร่ต่อเดือน และต้องได้ผลตอบแทนเท่าไหร่จึงจะไปถึงเป้าหมาย 

 

ขั้นตอนที่ 6 : ปรึกษานักวางแผนการเงิน

 

เมื่อการเก็บออมและลงทุนไม่เป็นไปตามแผน หรือรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเลขที่คำนวณไว้ สามารถปรึกษานักวางแผนการเงินมืออาชีพ ที่จะช่วยวิเคราะห์สถานการณ์และให้คำแนะนำที่เหมาะสม หรือใช้เครื่องมือคำนวณเงินเกษียณออนไลน์ เพียงกรอกข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุปัจจุบัน อายุที่ต้องการเกษียณ อายุขัย เงินออมที่มี และเป้าหมายทางการเงิน เครื่องมือจะช่วยประเมินว่าคุณต้องออมและลงทุนอย่างไรเพื่อให้ถึงเป้าหมาย

 

การจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อวัยเกษียณ

 

การวางแผนการลงทุนสำหรับวัยเกษียณเปรียบเหมือนการจัดกระเป๋าเดินทางไกล ต้องแยกของใช้จำเป็นกับของใช้เสริมออกจากกัน คุณนิภาพันธ์แนะนำให้แบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 2 ส่วนตามลักษณะค่าใช้จ่าย

 

– ส่วนแรก คือ พอร์ตเพื่อความจำเป็นพื้นฐาน สำหรับค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่ารักษาพยาบาล พอร์ตนี้ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ “เช่น ประกันสะสมทรัพย์ที่ครบสัญญาแล้วได้เงินก้อนคืนมาแน่ๆ ประกันชีวิตแบบบำนาญที่เมื่ออายุครบ 60 ปี มีการกำหนดเงินบำนาญที่จ่ายให้แน่นอนหรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ที่เป็นระดับที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ที่จ่ายดอกเบี้ยสม่ำเสมอ”

 

– ส่วนที่สอง คือ พอร์ตเพื่อความสุข สำหรับกิจกรรมที่อยากทำในวัยเกษียณ เช่น ท่องเที่ยว งานอดิเรก หรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูง พอร์ตนี้สามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น โดยลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง เช่น กองทุนรวมหุ้นหรือกองทุนรวมต่างประเทศ เพราะหากเกิดความผันผวน ก็ไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน

 

บทสรุป การวางแผนเกษียณเหมือนการปลูกต้นไม้ ยิ่งปลูกเร็ว รากก็ยิ่งแข็งแรง แตกกิ่งก้านสาขามากมาย แต่ถึงแม้จะเริ่มปลูกช้า ต้นไม้ก็ยังเติบโตได้ เพียงแต่ต้องดูแลเอาใจใส่มากขึ้น ที่สำคัญ คือ ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพราะทุกวันที่ผ่านไป คือ โอกาสที่จะสร้างความมั่นคงให้ชีวิตวัยเกษียณ ด้วยการวางแผนที่รอบคอบและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถมีชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคงและมีความสุขได้

 

#WealthMeUp

 

Related Stories

amazon anti fatigue mats