‘โอกาส’ ในวันที่โลกเปลี่ยน 4 ปัจจัยเบื้องหลังในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
สรุปเนื้อหาจาก Speech ของคุณคริสตาลินา กิออร์กิเอวา กรรมการผู้จัดการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ก่อนการประชุมประจำปีเดือนตุลาคม
คำถามที่เร่งด่วนที่สุด ในการประชุมประจำปีของ IMF
เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้ก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง แต่ก็เห็นความฝันที่ยังไม่สมดังปรารถนาเช่นกัน ผู้คนทั่วไปในปัจจุบันมีฐานะดีกว่าเมื่อราว 30 ปีก่อนมาก แต่ค่าเฉลี่ยในสถิติเรื่องนี้กลับซ่อนเอาไว้ซึ่งการถูกกีดกันให้อยู่ชายขอบ ความคับข้องใจ และการใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นผู้คนโดยเฉพาะเยาวชน ออกมาประท้วงบนท้องถนนตั้งแต่เมืองลิมาไปจนถึงเมืองราบัต จากกรุงปารีสไปจนถึงกรุงไนโรบี และจากเมืองกาฐมาณฑุไปจนถึงกรุงจาการ์ตา โดยทุกคนต่างเรียกร้องโอกาสที่ดีขึ้น
ในสหรัฐอเมริกา โอกาสที่คนรุ่นใหม่จะมีรายได้สูงกว่าพ่อแม่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ความคับข้องใจที่เกิดขึ้นนี้กำลังผลักให้เกิด การปฏิวัติทางนโยบาย ที่เปลี่ยนโฉมรูปแบบการค้า การย้ายถิ่นฐาน และกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลาง “แรงเปลี่ยนแปลงเชิงลึก” ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วในหลายภูมิภาค และผลกระทบสะสมต่อสิ่งแวดล้อมของโลก
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ความไม่แน่นอนในทั่วโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ เตรียมตัวให้พร้อม เพราะความไม่แน่นอนจะยังคงมีอยู่
ในสัปดาห์หน้า เมื่อบรรดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางจากทั่วโลกมารวมตัวกันในการประชุมประจำปีของเรา คำถามเร่งด่วนที่สุดจะเป็นคำถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจากพลังของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และความสับสนจากนโยบายที่เรากำลังพบเห็นอยู่ และเศรษฐกิจโลกกำลังรับมืออย่างไร? ท่ามกลางความไม่แน่นอนในทั่วโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
4 ปัจจัยเบื้องหลังความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
เมื่อต้นปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคน (แต่ไม่ใช่เรา) คาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก ในทางกลับกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงประเทศกำลังพัฒนา ตลาดเกิดใหม่ และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อีกหลายประเทศยังคงรักษาเสถียรภาพไว้ได้
ตามที่ รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ของเราจะอธิบายรายละเอียดในสัปดาห์หน้า เราคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อยในปีนี้และปีหน้า สัญญาณทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกโดยทั่วไปได้ต้านทานแรงกระแทกที่รุนแรงจากหลายปัจจัย
เราจะอธิบายความสามารถในการฟื้นตัว (Resilience) นี้ได้อย่างไร? ด้วยเหตุผล 4 ประการดังต่อไปนี้
- เหตุผลประการแรก พื้นฐานนโยบายที่ดีขึ้นและการทำงานประสานกันทั่วโลก
นโยบายการเงินทั่วโลกมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ตลาดพันธบัตรและหุ้นกู้สกุลเงินท้องถิ่นลึกขึ้น และกฎระเบียบทางการคลังรัดกุมขึ้น ช่วงโควิด-19 หลายประเทศดำเนินมาตรการทางการคลังอย่างรวดเร็วและสอดประสานกัน เพื่อลดผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ประเทศตลาดเกิดใหม่เองก็พัฒนากรอบนโยบายและสถาบันให้แข็งแกร่งขึ้นมาก ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ดีกว่าช่วงก่อนวิกฤตการเงินโลก
- เหตุผลประการที่สอง : ความสามารถในการปรับตัวของภาคเอกชน
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้เร่งทำคำสั่งซื้อสินค้านำเข้าล่วงหน้าก่อนการขึ้นภาษีศุลกากร ปรับห่วงโซ่อุปทานและสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ และเทคโนโลยี AI กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ สร้างทั้งโอกาสและความท้าทาย
- เหตุผลประการที่สาม : ภาษีศุลกากร ซึ่งไม่สร้างแรงกระแทกได้รุนแรงเท่าที่ประกาศไว้ในตอนแรก
แม้จะมีการประกาศขึ้นภาษีหลายครั้ง แต่อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงของสหรัฐฯ กลับลดลงจาก 23% ในเดือนเมษายน เหลือ 17.5% ในปัจจุบัน ที่สำคัญคือ ไม่มีมาตรการตอบโต้รุนแรงจากประเทศอื่น จึงช่วยลดแรงกระแทกทางเศรษฐกิจลงได้มาก

- เหตุผลประการที่สี่ : ภาวะการเงินที่เอื้ออำนวย
แรงหนุนจากความหวังว่า AI จะเพิ่มผลิตภาพ ทำให้ราคาหุ้นทั่วโลกพุ่งสูง ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงช่วยบรรเทาภาระหนี้ของประเทศที่กู้เงินสกุลดอลลาร์ ส่งผลให้ตลาดทุนโดยทั่วไปเปิดกว้าง บริษัทและรัฐบาลหลายประเทศต่างกำลังคว้าโอกาสนี้ไว้
อุปสงค์ทองคำที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก สัญญาณที่ต้องให้ความสำคัญ
มีสัญญาณบางอย่างที่เราต้องให้ความสำคัญ เช่นอุปสงค์ของทองคำที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก เพราะได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยการแปลงมูลค่าและปริมาณการซื้อสุทธิ สะท้อนปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์บางส่วน ปัจจุบันการถือครองทองคำจึงเกินกว่า 1 ใน 5 ของทุนสำรองอย่างเป็นทางการของโลก

ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังไม่ชัดเจนเต็มที่ กำไรของบริษัทอาจหดตัวและส่งต่อเป็นราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อกลับมาสูงอีกครั้ง
แม้ตลาดการเงินจะคึกคัก แต่ก็อาจกำลังปิดบัง “สัญญาณอ่อนแรง” บางอย่าง เช่น การจ้างงานที่เริ่มชะลอตัว หรือราคาสินทรัพย์ที่สูงเกินจริง หากเกิดการปรับฐานรุนแรง ภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นอาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบหนักต่อประเทศกำลังพัฒนา
3 เป้าหมายระยะกลาง รับมือโลกหลายขั้วที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
ผู้กำหนดนโยบายสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง เพื่อตอบสนองความปรารถนาของคนทั่วไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
- ประการแรก : ยกระดับการเติบโตอย่างยั่งยืน
เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถสร้างงานมากขึ้น สร้างรายรับสาธารณะเพิ่มขึ้น และให้หนี้สาธารณะและเอกชนมีความยั่งยืนมากขึ้น
โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของโลกในระยะกลางจะอยู่ราว 3% ลดลงจาก 3.7% ก่อนโควิด ทั้งนี้รูปแบบการเติบโตของโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อินเดียพัฒนาไปเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ
- ประการที่สอง : ซ่อมแซมฐานะการเงินของรัฐบาล
เพื่อให้สามารถรับมือกับแรงกระแทกใหม่ๆ และแก้ไขปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนโดยไม่ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภาคเอกชนสูงขึ้น
- ประการที่สาม: แก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทั่วโลกที่มากเกินไป
เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว เสถียรภาพภายนอกสะท้อนถึงการออมภายในและดุลการลงทุน
ความเป็นจริงที่เตือนสติว่า “หนี้สาธารณะทั่วโลกพุ่ง”
หนี้สาธารณะทั่วโลกมีแนวโน้มสูงเกิน 100% ของจีดีพีภายในปี 2572 นำโดยประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่

ภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะจำกัดความสามารถในการใช้จ่ายของรัฐบาล และลดศักยภาพในการรับมือกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจ
ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาให้กับประเทศที่ยากจนที่สุดยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศรายได้ต่ำจึงจำเป็นต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยตั้งเป้ารายได้ภาษีอย่างน้อย 15% ของจีดีพี
ดังนั้น การรัดเข็มขัดทางการคลังจึงมีความจำเป็นในหลายเขตเศรษฐกิจ ทั้งรวยและจน อย่างไรก็ตาม “การรัดเข็มขัดทางการคลัง” เป็นเรื่องยาก เพราะหากขาดการสื่อสารและการวางแผนที่ดี ก็อาจนำไปสู่ความไม่สงบทางสังคมได้ แต่หากดำเนินการอย่างรอบคอบและได้รับแรงหนุนจากการเติบโตระยะกลาง การลดการขาดดุลก็สามารถทำได้สำเร็จ
สุดท้ายนี้ ขอย้อนกลับไปที่แรงบันดาลใจจากเยาวชน ความรู้สึกรับผิดชอบอย่างลึกซึ้งในการเป็นผู้นำของไอเอ็มเอฟ ในการทำหน้าที่พื้นฐานของเราอย่างดีที่สุด นั่นคือการมีอิทธิพลต่อนโยบายในลักษณะที่ใช้ประโยชน์จากโอกาสให้ได้มากที่สุด
หากเราร่วมมือกัน แม้ว่าโลกในปัจจุบนจะซับซ้อนและไม่แน่นอน เราจะสามารถสร้างนโยบายที่รองรับตลาดเสรีให้แข็งแกร่งด้วยกฎระเบียบที่ชาญฉลาด สถาบันที่เข้มแข็ง ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน โครงข่ายความปลอดภัยที่แข็งแรง และอื่นๆ อีกมากมาย นโยบายที่มีกำลังมากพอที่จะเพิ่มพลังต้านทานภัยและเสริมสร้างความสามารถการฟื้นตัว นโยบายที่จะเร่งการเจริญเติบโต
ที่มา: https://www.imf.org/th/News/Articles/2025/10/08/sp100825-annual-meetings-2025-curtain-raiser
















