5 Steps เทพ ‘สร้างเงินล้าน’
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
อายุน้อย…ก็มี ‘เงินล้าน’ได้
ชวนมาดู 5 Steps เทพ ‘สร้างเงินล้าน’…เริ่มก่อน ได้เปรียบกว่า!
STEP 1: รู้จักประเภท “ทุน”
ก่อนเริ่มลงทุนเราควรเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่าเงินทุนคืออะไร โดยในที่นี้แบ่งเงินทุนออกเป็น 2 ส่วนคือ
- Human Capital แปลตรงตัวว่าทุนมนุษย์
โดยทุนมนุษย์กล่าวง่าย ๆ คือ รายรับของเราทั้งหมดในแต่ละปีตั้งแต่ปัจจุบันจนเกษียณอายุคิดลดด้วยความเสี่ยงของแต่ละบุคคลเป็นมูลค่าปัจจุบัน เช่น คุณได้รับเงินเดือน 5 หมื่นบาท อายุปัจจุบัน 30 ปี และมีเป้าหมายทำงานถึงอายุ 40 ปี โดยสมมติทำงานไป 10 ปี ไม่มีการขึ้นเงินเดือนเลย ถ้าคิดง่าย ๆ คือ คุณมีต้นทุนมนุษย์ราว 6 ล้านบาท ( 50,000 x 12 x 10) ก่อนการคิดลดมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน ดังนั้นเงิน 6 ล้านบาทที่คุณถือมาด้วยปัญญาการทำงานก้อนนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนเช่นกัน
- Financial Capital แปลว่าทุนหรือสินทรัพย์ทางการเงิน
เช่น เงินฝากในธนาคาร เงินลงทุนในหุ้น ประกันชีวิต เป็นต้น โดยสมมติมีเงินออมในธนาคารรวมเงินลงทุนในประกันชีวิตและหุ้น 1 แสนบาท ดังนั้นความมั่งคั่งโดยรวมของคุณมีค่าประมาณ 6 ล้าน 1 แสนบาท (Human Capital + Financial Capital)
STEP 2: เข้าใจรูปแบบ “การลงทุน”
อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ตามปกติของคนเริ่มทำงาน เรามักมีความฝันที่จะท่องเที่ยว ซื้อรถ หรือทำธุรกิจออนไลน์ แต่ปัญหาคือเงินเดือนไม่พอใช้ เงินออมไม่มีเก็บ หลายท่านจึงคิดว่าการลงทุนเป็นสิ่งไม่จำเป็น รอมีเงินเก็บก่อนค่อยลงทุน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิด เพราะอย่างที่กล่าวไปในข้อแรกว่าความมั่งคั่งทั้งหมดต้องรวมทุนมนุษย์ด้วย โดยอายุยิ่งน้อยทุนมนุษย์เรายิ่งมีมาก เพราะโอกาสในการทำงานมีอีกหลายปี
ดังนั้นลงทุนก่อนรวยก่อน ได้เที่ยวก่อน รวมถึงมีรถหรู ๆ ขับก่อนด้วย โดยให้มองทุนมนุษย์เปรียบเสมือนสินทรัพย์ตัวหนึ่ง เช่น คนทำงานประจำ หรือรับราชการ จะมีทุนมนุษย์ในรูปของเงินฝาก เพราะมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียของรายได้ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นคนที่มีทุนมนุษย์ในรูปเงินฝากอยู่มากแล้ว (พนักงานประจำ) และอายุยังน้อย เราสามารถเอาทุนทางการเงินมาลงทุนในหุ้น 100% ได้ หรือหากคนที่ทำงานในตลาดหุ้น มีรายได้ผันผวนตามการขึ้นลงของตลาด เช่น ที่ปรึกษาการลงทุน มีลักษณะเหมือนการลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว ดังนั้นทุนทางการเงินควรลงทุนในหุ้นต่ำกว่า 80% สะท้อนความเสี่ยงของทุนมนุษย์ที่ขึ้นลงตามตลาดหุ้น สำหรับประกันชีวิตลงทุนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการแบ่งมรดกให้รุ่นลูก หากมีความจำเป็นมากย่อมต้องทำประกันชีวิตมากขึ้น และหากมีสัดส่วนของทุนมนุษย์เทียบกับทุนทางการเงินสูงย่อมต้องทำประกันมากขึ้น ดังนั้นคนที่อายุน้อย ๆ สามารถนำสินทรัพย์มาลงทุนในหุ้นได้เกือบ 100% ที่เหลือแบ่งไว้ทำประกันชีวิต และเงินฝากในยามฉุกเฉินอย่างต่ำ 3 เดือนของเงินเดือนน่าจะเพียงพอต่อเป้าหมายการมีเงินเก็บ 1 ล้านบาทได้แล้ว
STEP 3: ตั้งเป้า “การออม”
ออมอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ออมเท่าไหร่ถึงรวย? เป็นคำถามที่มักเจอในกลุ่มเพื่อน ๆ และนักลงทุนเสมอ ขอแนะนำให้มองเป้าหมายหลักก่อนว่าออมเพื่ออะไร เช่น เกษียณอายุ ออมซื้อรถ หรือ ออมเพื่อเก็บเงินไปเที่ยว แล้วมองต่อไปถึงระยะเวลาการออมกี่ปี เงินลงทุนเริ่มต้นมีเท่าไหร่ ผลตอบแทนคาดหวังในการลงทุนเป็นอย่างไร
แต่สำหรับวิธีที่ง่ายกว่านี้ เราสามารถใช้กฎ 50-20-30 กล่าวคือ 50% แรกของเงินเดือนสำหรับใช้จ่ายสิ่งที่จำเป็น เช่น อาหาร ค่าเดินทาง เสื้อผ้า ค่าน้ำ–ไฟ โดยอีก 20% ของเงินเดือนใช้สำหรับการออมระยะยาวและจ่ายหนี้สินต่าง ๆ เช่น ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน และอีก 30% สุดท้ายใช้จ่ายสำหรับความสุขของชีวิต เช่น ท่องเที่ยวต่างประเทศ ดูหนัง เลี้ยงสัตว์ ทาน Dinner มื้อสุดหรู ค่ามือถือ และ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น
STEP 4: เริ่มออมหุ้นด้วย “กองทุนรวม”
มาถึงตรงนี้เป็นขั้นตอนการเลือกหุ้น หากใครเป็นนักลงทุนมือใหม่วิธีที่ง่ายที่สุดคือลงทุนในกองทุนหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยข้อดีในการเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นทำให้นักลงทุนไม่ต้องมาเสียเวลาในการหาหุ้นเอง ประกอบกับมีผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุนคอยเปลี่ยนหุ้นเข้า–ออก ให้เราตลอดเวลา และยังสามารถกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลาย ๆ ตัวได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
STEP 5: ลงทุนระยะยาวแบบ “DCA”
สิ่งที่ยากที่สุดในการลงทุนคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงไหนหุ้นจะขึ้น หรือช่วงไหนหุ้นจะลง โดยเราสามารถลดความเสี่ยงข้อนี้ลงไปได้ด้วยวิธี Dollar-Cost Averaging (DCA) คือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยกำหนดเงินลงทุนเป็นงวด ๆ เช่น ลงทุนเดือนละ 1 ครั้ง ทุกปลายเดือน เป็นการลงทุนอัตโนมัติไปเรื่อย ๆ โดยตั้งเป้าหมายที่จำนวนเงินที่ต้องการลงทุนเป็นหลัก
ข้อดีหลัก ๆ คือ ถ้าภาวะตลาด ณ ช่วงเวลานั้น มีความผันผวนมาก หรือเป็นตลาดขาลง เราจะขาดทุนน้อยกว่าการลงเงินทั้งหมดในครั้งเดียวตั้งแต่วันแรก และเรายังได้จำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นด้วยจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง ข้อดีอีกข้อที่สำคัญยิ่งกว่าอื่นใดคือ การทำให้เรามีวินัยในการลงทุนนั่นเอง ซึ่งวินัยในการลงทุน ส่งผลให้เราไม่หลงไปกับความผันผวนของตลาดระยะสั้น ๆ