×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

จัดพอร์ตลงทุนรับเศรษฐกิจปี 2O23

1,080

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

เปิดมุมมองเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจไทย ปี 2023 

 

ในงานสัมมนาเปิดมุมมองวิเคราะห์การเงินและการลงทุนปี 2023 “KRUNGSRI EXCLUSIVE Economic Outlook 2023: Investment Insights for Year Ahead” ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ฉายภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2023 ว่า การยกเลิกนโยบาย Zero Covid และการเปิดประเทศของจีนถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลก และล่าสุดนักวิเคราะห์คาดว่ายุโรปจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว แต่ในระยะสั้นเศรษฐกิจโลกยังเป็นขาลงจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายโลกที่ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ


ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.7% ในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งคาดว่าจะเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยราว 25.5 ล้านคนในปีนี้และเพิ่มขึ้นเป็น 34 ล้านคนในปีหน้า ส่วนการส่งออกยังคงได้รับแรงกดดดันจากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. นัดแรกของปีเมื่อวันที่ 25 .. ที่ผ่านมา จึงมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % จาก 1.25% เป็น 1.50% ต่อปี 

 

ส่วนปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือ แนวโน้มเศรษฐกิจโลก, ผลของการเปิดประเทศของจีนและมาตรการสนับสนุน รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจเพิ่มขึ้น 

 

วิเคราะห์มุมมองการลงทุนปี 2023 

 

มาดูกันที่ภาพรวมการลงทุนในปี 2023 กันบ้าง Mr. Thomas Taw, Head of Investment Strategy and Product Consulting for the APAC ETF business, BlackRock บอกว่า การลงทุนในตราสารหนี้ส่งสัญญาณว่าจะกลับมาในปลายปี 2022 โดยเงินลงทุนกว่า 17,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้กลับเข้าในตราสารหนี้ประเภท High Yield และ Investment Grade ตลอดไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้สินทรัพย์ High Yield ถูกขายออกมามากที่สุดเป็นประวัติการณ์

 

ขณะที่ตลาดหุ้น เงินทุนไหลไปยังหุ้นกลุ่ม Defensive ตามสถานการณ์การลงทุนที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ส่วนตลาดที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดคือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ตามมาด้วยเอเชียแปซิฟิก (APAC) ในขณะที่ตลาดยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) เงินก็ไหลกลับมาเข้ามากกว่า 13,200 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

สำหรับหัวใจของการลงทุนปี 2023 คือ วิธีคิดที่จะมองให้เห็นโอกาส ด้วย 4 ปัจจัย คือ

 

  1. นโยบายที่มีเสถียรภาพ: สินทรัพย์หลายตัวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลัง Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ย แต่เวลานี้อะไรๆ น่าจะไม่เหมือนเดิม เมื่อมีความคาดหวังว่า Fed ขึ้นดอกเบี้ยและคงดอกเบี้ยไว้ระดับสูงต่อไป
  2. ตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง: ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ตลอด 50 ปีจะเห็นว่า จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ โดยเฉลี่ยจะพุ่งแตะ 550,000 ตำแหน่ง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง
  3. ประมาณการการเติบโตของผลตอบแทน: ทางหนึ่งมองว่า S&P500 จะยังคงเติบโตดีต่อไป ส่วนอีกทางมองว่าจะเป็นขาลง
  4. แนวโน้มและจุดยืน: เงินลงทุนที่ไหลไปยังหุ้นฝั่งยุโรป ถึงจุดสูงสุดแล้วใช่ไหม?  

 

ส่วน 3 ธีมการลงทุนในปี 2023 โดย BlackRock คือ

 

  1. Pricing the damage ประเมินราคาความเสียหายจากการลงทุนที่รับได้ เพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่จบลงและยังมีหนักกว่านี้รออยู่สำหรับการลงทุนในหุ้น ดังนั้นการคัดเลือกคือหัวใจของการลงทุนหุ้น ซึ่งตอนนี้ยังให้น้ำหนักกับหุ้นในกลุ่มวัฏจักร เช่น กลุ่มพลังงานและธนาคาร
  2. Rethinking bonds ลองมองหาตราสารหนี้ โดยพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นมีความน่าสนใจ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของ Yield จะช่วยลดความเสี่ยงการถือครองระยะยาวได้ นอกจากนี้ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Investment Grade bond ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี มีการป้องกันความเสี่ยง ทั้งในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือเมื่อมีการปรับลดอันดับ/ การผิดนัดชำระหนี้
  3. Living with inflation อยู่ให้ได้กับสภาวะเงินเฟ้อสูง ดังนั้น Allocation ยังเป็นสิ่งสำคัญ ควรกระจายการลงทุนให้สอดคล้องกับธีมเรื่องเงินเฟ้อที่สูง ความผันผวนที่มีด้วย โดยมองว่าหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ (Lower-volatility equity) จะบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดีลงทุนได้ต่อเนื่อง และจะได้รับประโยชน์เมื่อตลาดฟื้นตัวเป็นขาขึ้น

 

แนะกลยุทธ์จัดพอร์ตรับเศรษฐกิจปี 2023 

 

คุณวิน พรหมแพทย์, CFA ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชนบอกว่า ปี 2022 ที่ผ่านมาตราสารหนี้และหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยตลาดหุ้นโลก -20% ตลาดตราสารหนี้ -16% แม้จะอยู่ในช่วง Bear Market หรือ ภาวะตลาดที่ดัชนีหลักทรัพย์และราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและปริมาณการซื้อขายก็มีน้อย แต่ดัชนี S&P500 ก็ยังมี Mini Rally หลายครั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +10.5% และจากเหตุการณ์ในอดีตหลังจากปีที่ตลาดแย่ ก็มักจะตามด้วยตลาดที่ฟื้นดีมากในปีถัดมา เช่นปี 2008 และปี 2018 ที่ตลาดแย่ ในปี 2009 และปี 2019 ตลาดก็กลับมาฟื้นตัวได้ดี เช่นเดียวกับการลงทุนในปี 2023  ตลาดน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีเช่นกัน โดย

 

Global Equity: คาดว่าตลาดหุ้นโลกจะผันผวนในช่วงครึ่งปีแรกจากความกังวลเรื่องเศษฐกิจถดถอย และมีโอกาสกลับทิศเป็นขาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากเศรษฐกิจเป็น Soft Landing แนะรอจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในช่วงกลางปี 2023 โดยจุดที่น่าสนใจเข้าลงทุน คือ S&P500 ที่ 3,600–3,700 จุด 

 

Thai Equity: มองเป้า SET Index 1,800 จุดในสิ้นปี 2023 แนะนำหาจังหวะเพิ่มน้ำหนักลงทุนที่ระดับ 1,580–1,640 จุด 

 

REITs: นอกจากให้ Yield สูง ยังมีโอกาสรับประโยชน์จากค่าเช่าที่ปรับเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ แนะนำหาจังหวะเพิ่มน้ำหนักเมื่อตลาดย่อตัว

 

ทองคำ: หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนในทองคำมักให้ผลตอบแทนดี แนะนำหาจังหวะเพื่อเพิ่มน้ำหนักที่ราคา 1,730–1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

 

ค่าเงินบาท: มีแนวโน้มแข็งค่าและผันผวนมากขึ้น โดยประเมินทิศทางค่าเงินบาทปีนี้จะอยู่ในกรอบ 31-34 บาท / ดอลลาร์สหรัฐ แนะนำเลือกกองทุนที่ทำ FX Hedging เช่น KFHGOLD 

 

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงศรีแนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเป็นพอร์ตหลัก หรือ Core Portfolio ในสัดส่วนมากกว่า 80% และ Satellite Portfolio สัดส่วนน้อยกว่า 20% สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางสูง แนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน 5 “กองทุนเรือธงเป็น Core Portfolio ประกอบด้วย KF-CSINCOM, KFCORE, KFGBRAND, KFESG, K-CHANGE  ซึ่งเป็นกองทุนที่ได้รับคะแนน 4-5 ดาวจาก Morningstar บริษัทชั้นนำของโลกด้านการจัดอันดับกองทุนรวม

 

DeFi ยังไม่ดิสรัปภาคการเงินในช่วงสั้น

 

ส่วนเรื่องของ Defi – Decentralized Finance หรือการเงินแบบใหม่ไม่รวมศูนย์ ที่อาจจะมาพลิกโฉมโลกการเงินและมีผลต่อความอยู่รอดของสถาบันการเงินนั้น ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ ผู้บริหารฝ่ายวิจัยธุรกิจและอุตสาหกรรมและรักษาการผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์และพัฒนางานวิจัย สายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มองว่า DeFi จะยังไม่ดิสรัปภาคสถาบันการเงินในช่วงสั้นนี้ แม้ว่า DeFi จะเป็นรูปแบบการเงินแบบไร้ตัวกลางที่รันระบบบริหารจัดการด้วย Smart Contract บนเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งแตกต่างจากการบริหารจัดการเงินแบบดั้งเดิมที่มีธนาคารหรือสถาบันทางการเงินดูแลให้ แต่เรื่องของเงินนั้นผู้คนยังคงอยากใช้บริการและทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ผ่านธนาคารที่มีความเชื่อมั่นมากกว่า 

 

บทสรุป: ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงผันผวน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน การจับจังหวะและหาโอกาสเข้าลงทุน รู้จักกระจายความเสี่ยง และเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ก็ทำให้เราลงทุนได้อย่างสบายใจ มั่นใจ และมีโอกาสที่พอร์ตของเราจะเอาชนะตลาดได้ 

 

หมายเหตุ: กองทุน KFSMART และ KFCSINCOM อาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจากการลงทุนบางส่วนหรือทั้งจำนวนได้ และในการขายคืนหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการ

 

กองทุน KFCORE และ KFGBRAND ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

 

KFHGOLD ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats