×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

ผ่อนไม่ไหว ทำอย่างไรดี?

746

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

หากใครกำลังอยู่ในสถานการณ์เงินไม่พอใช้หนี้

 

มาดู 4 ตัวช่วยที่เริ่มจากตัวเรา…2 ทางออก จากสถาบันการเงิน

 

หากกำลังอยู่ในสถานการณ์เงินไม่พอใช้หนี้ ขอให้ตั้งสติให้ดี แล้วค่อยๆ พยายามหาทางแก้ไข ดังนี้

 

1. ไม่ก่อหนี้เพิ่ม

เพื่อไม่ให้เงินต้นและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

 

2. สำรวจพฤติกรรมการใช้เงิน

อาจทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อดูว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ไม่จำเป็นและพอจะลด ละ เลิก ได้บ้าง เช่น หวย เสื้อผ้า กระเป๋า

 

3. หารายได้เสริม

จากความสามารถพิเศษที่มี เช่น ทำขนมขาย รับจ้างซ่อมแซมสิ่งของ ประกวดความสามารถชิงรางวัลต่างๆ

 

4. ไม่ควรหนีเจ้าหนี้

เพราะอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น

 

การรีไฟแนนซ์

 

คือ การเปลี่ยนเจ้าหนี้หรือไถ่ถอนหนี้จากผู้ให้สินเชื่อเดิมเพื่อมาขอกู้จากผู้ให้สินเชื่ออีกแห่งหนึ่งแทน ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่ในการรีไฟแนนซ์ก็คือ ผู้ให้สินเชื่อมักเสนอดอกเบี้ยต่ำในช่วงปีแรกๆ การไปเริ่มกู้กับธนาคารแห่งใหม่เมื่อหมดช่วงเวลาที่ได้ดอกเบี้ยต่ำแล้วมักจะได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง 

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ เราควรคำนวณให้ดีก่อนว่าคุ้มหรือไม่ โดยเปรียบเทียบว่าเงินที่ประหยัดได้จากดอกเบี้ยที่ลดลงมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการที่ต้องเริ่มกระบวนการพิจารณาสินเชื่อใหม่ทั้งหมด 

 

หากพบว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง หรือเสียเวลาในการดำเนินการมาก แต่ช่วยให้ประหยัดเงินได้น้อย การใช้บริการผู้ให้สินเชื่อเดิมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

 

ตัวอย่าง: นาย ก ได้กู้เงินซื้อบ้านจากธนาคาร A เป็นเงิน 2,200,000 บาท โดยกู้มาแล้ว 2 ปี ขณะที่เงินต้นคงเหลือ 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่เดิมคือ 7% โดยนาย ก กำลังตัดสินใจว่าจะรีไฟแนนซ์ไปธนาคาร B ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (ให้สันนิษฐานว่าหลังจากหมดโปรโมชันแล้ว จะใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินเดิม) แต่นาย ก ต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 3% ของยอดคงค้าง เพราะเพิ่งจะกู้ไม่ถึง 3 ปี

 

  • ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้

 

ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ = A x B x C 

 

A = เงินต้น 

B = อัตราดอกเบี้ยที่ประหยัดได้

C = จำนวนปีที่ได้โปรโมชัน

 

ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ทั้งสิ้นประมาณ

= 2,000,000 x (7-3)/100 x 3

= 240,000 บาท*

 

  • ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์

 

ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แก่หน่วยงานราชการ

    • ค่าจดจำนองหลักประกัน (1% ของวงเงินจำนอง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท)
    • ค่าอากรแสตมป์ (0.05% ของวงเงินกู้ แต่ไม่เกิน 10,000 บาท)

 

ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายแก่สถาบันการเงินแห่งใหม่

    • ค่าประเมินหลักประกัน

 

ค่าปรับที่ต้องจ่ายให้แก่สถาบันการเงินเดิม เช่น ถ้าผ่อนส่งยังไม่ครบจำนวนปีที่กำหนดก็จะต้องจ่ายค่าปรับ เช่น 3% จากเงินต้นคงค้าง 

 

จากตัวอย่างค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น = 84,000 บาท*

 

การรีไฟแนนซ์ตามตัวอย่างนี้จะประหยัดเงินได้ประมาณ 240,000 – 84,000 = 156,000 บาท* จึงควรรีไฟแนนซ์

 

*หมายเหตุ: การคำนวณข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากสถาบันการเงินแต่ละแห่ง

 

การปรับปรุงโครงสร้างหนี้

 

การปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะเกิดขึ้นในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามสัญญาเงินกู้เดิม ลูกหนี้จึงประสงค์ที่จะขอผ่อนปรนการชำระหนี้กับสถาบันการเงินตามความสามารถ โดยสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะเป็นแนวทางที่ลูกหนี้สามารถที่จะชำระหนี้ได้ตลอดสัญญา และลูกหนี้ไม่ควรผิดนัดชำระอีก 

 

ดังนั้น ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้ควรชี้แจงสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงินได้ตามความเป็นจริง เพื่อให้สถาบันการเงินนำข้อมูลที่เป็นประเด็นปัญหาไปประกอบการพิจารณาอนุมัติการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต่อไป

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats