“เลือกหุ้น” ฝ่าวิกฤต COVID-19
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
หากวันนี้ยังลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทย คงต้องใช้ฝีไม้ลายมือกันสุดฤทธิ์ เพื่อทำให้พอร์ตลงทุนมีกำไร หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ขาดทุน เพราะแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมาหุ้นไทยผันผวนชนิดวินาทีต่อวินาที
แต่มีคำถามว่าถ้าไม่ลงทุนหุ้นแล้ว มีอะไรลงทุนแล้วสร้างผลตอบแทนได้น่าประทับใจ ตอนนี้อาจยังไม่มีคำตอบ แต่ที่แน่ๆ ใครก็ตามที่ลงทุนผ่านร้อนผ่านหนาวกับตลาดหุ้นไทยมาก่อน คงไม่ใจร้ายที่จะทิ้งไปได้ เพราะถ้าลงทุนกันยาวๆ หุ้นไทยก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่
ถ้าเชื่อกฎการลงทุนข้อหนึ่งของแต่ปีเตอร์ ลินซ์ ที่บอกว่า การตกต่ำลงของตลาดหุ้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ หากนักลงทุนมีการเตรียมตัว ตลาดจะไม่สามารถทำร้ายได้ และเป็นโอกาสซื้อของถูกอีกด้วย แต่ดูเหมือนว่านับตั้งแต่เกิด COVID-19 นักลงทุนกลับเลือกใช้กลยุทธ์ปลอดภัยสุดๆ นั่นคือ wait & see รอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปสะสมหุ้นกันอีกครั้ง
คำถามก็คือ จะให้รอกันจนถึงเมื่อไหร่?
เทคนิคหนึ่งที่นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) นำมาเลือกลงทุนในช่วงตลาดผันผวน คือ Margin of Safety หรือเลือกหุ้นที่มีส่วนต่างความปลอดภัย
Margin of Safety
คือ การลงทุนด้วยการพิจารณาที่มูลค่าที่แท้จริงของกิจการว่ามีค่าเป็นเท่าไรต่อหุ้น หากนักสามารถซื้อหุ้นนั้นได้ถูกกว่าค่านี้ หมายถึงว่าสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่มีส่วนลด และเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาของหุ้นจะต้องปรับไปสู่ราคาที่เหมาะสมเสมอ และนักลงทุนสามารถขายหุ้นนั้นออกไปในราคาที่มีกำไรจากส่วนต่าง
พูดง่ายๆ คือ ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือมูลค่าพื้นฐาน เช่น มูลค่าที่แท้จริงหรือมูลค่าพื้นฐานหุ้น XYZ อยู่ที่ 10 บาท แต่เมื่อตลาดผันผวนราคาหุ้น XYZ ปรับลดลงไปอยู่ที่ 7 บาท หมายว่าว่าถ้าซื้อหุ้นตัวนี้จะมี Margin of Safety ที่ระดับ 3 บาท
แปลว่า หากนักลงทุนซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety สูงมากเท่าไหร่ อาจเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้สูงมากเท่านั้น และมีโอกาสลดผลขาดทุนลงได้เช่นเดียวกัน
สำหรับการเลือกหุ้นด้วยวิธี Margin of Safety นักลงทุนต้องมีความเข้าใจในการประเมินหุ้นด้วยเครื่องมือปัจจัยพื้นฐานก่อน หลังจากนั้นค่อยนำมาพิจารณาในด้านราคาหุ้นนั้นๆ
โดยหลักการลงทุนเพื่อให้เกิด Margin of Safety พอสรุปได้ ดังนี้
1.ลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ เป็นผู้นำตลาดที่มียอดขายดีและเติบโตต่อเนื่อง
2.ลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
3.ลงทุนในบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง มีสินทรัพย์หมุนเวียนสูง มีกระแสเงินสดเป็นบวกมาโดยตลอด มีภาระหนี้สินต่ำหรือไม่มีหนี้เลย
4.ลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน มีความมั่นคงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
5.เน้นการวิเคราะห์อัตราส่วนราคา (Price Multiples) โดยดูจากค่า P/E Ratio โดยต้องมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และค่า P/BV Ratio น้อย เช่น น้อยกว่า 1 เท่า เป็นต้น
จะว่าไปแล้วความผันผวนในระยะสั้นที่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มักกลายเป็นโอกาสของคนที่กล้าและเข้าใจเรื่องการลงทุนระยะยาว เพราะพิสูจน์ว่าการลงทุนระยะยาวและเลือกหุ้นเป็น มีโอกาสชนะมากกว่าพ่ายแพ้