อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ชี้หุ้นวัสดุก่อสร้าง-ค้าปลีก น่าลงทุน
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
นายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ ตลาดหุ้นไทยถือว่าเติบโตได้ดีตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน หรือประมาณ 5% โดยจากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ หรือ IAA Consensus คาดการณ์ว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้จะเติบโต 11% ส่วนปีหน้าจะเติบโต 10% ขณะที่ P/E ปีนี้อยู่ที่ 15 เท่า และปีหน้าอยู่ที่ 14 เท่า
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไปยังคงเป็นปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และ Brexit โดยมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบประมาณ 1570-1730 จุด หรือบวก-ลบ 5% จากระดับ 1650 จุด
“ตอนนี้เป็นจังหวะที่จะสะสมหุ้น โดยกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ วัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก ที่ได้แรงหนุนจากนโยบายภาครัฐและเอกชนที่เริ่มลงทุน”
คาดดอกเบี้ยลงต่อ-ตราสารหนี้น่าสนใจ
ด้านนายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มดอกเบี้ยว่า ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือลดอีกรวม 0.5% ขณะที่ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 3-4 ครั้ง
“ในช่วงเดียวกัน คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง จากระดับ 1.5% เหลือ 1.25% เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตตามเป้าที่ระดับ 3%”
อย่างไรก็ตาม บลจ. มองว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 2.7-2.8% เท่านั้น ขณะที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย และเงินบาทที่แข็งค่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กนง. ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
ด้านตลาดตราสารหนี้มองว่า ตราสารหนี้อายุ 1-5 ปี น่าสนใจลงทุน ขณะเดียวกัน บริษัทได้ลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้อายุ 10 ปีขึ้นไป เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง
มั่นใจไทย-เพิ่มโซลูชั่นการลงทุนตอบโจทย์ลูกค้า
นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด มองแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกว่า จะชะลอตัวลงกว่าช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บลจ. ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อประเทศไทย
ส่วนทางด้านธุรกิจ ปัจจุบัน บลจ. มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 54,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 1% โดยในอนาคต บลจ. มีเป้าหมายที่จะเพิ่มโซลูชั่นผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่มีความครอบคลุมและหลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุน พร้อมกำลังพิจารณาปรับเงื่อนไขการลงทุนที่จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของบลจ.ได้สะดวกและง่ายดายมากขึ้น