×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

8 แนวโน้มสำคัญ การลงทุนปี 2566

2,280

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในปีนี้จะไม่สดใส มีความผันผวนเกิดขึ้นมากมาย หลายคนเสียหายจากการลงทุนไปพอสมควร ในปี 2566 ก็เช่นกัน เศรษฐกิจจะยังไม่ค่อยดี การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อกดเงินเฟ้อจะยังดำเนินต่อไป และความผันผวนยังคงอยู่ แต่หากนักลงทุนเข้าใจสถานการณ์ เข้าใจแนวโน้มใหญ่หรือเทรนด์สำคัญในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป ซึ่งกำลังกดดันและชี้นำสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ก็จะสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้นและคว้าโอกาสต่างๆ ที่กำลังเปิดขึ้นมาเป็นโอกาสของตัวนักลงทุนเอง

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้มาอัปเดตเศรษฐกิจ และฉายภาพ 8 แนวโน้มสำคัญสำหรับการลงทุนในปี 2566 โดย ดร.กอบศักดิ์ มองว่าแม้ความผันผวนจะต่อเนื่องไปในปี 2566 แต่จะเป็นปีที่เป็นโอกาสในการลงทุน เป็นปีที่สำคัญที่สุด ถ้าใครพลาดปีนี้จะเสียใจ

 

8 แนวโน้มสำคัญสำหรับการลงทุนในปี 2566

 

การกลับมาของนักท่องเที่ยว

 

ตั้งแต่วันที่ 1 ..–30 .. 2565 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 6,018,943 คน เฉลี่ย 668,771 คนต่อเดือน ซึ่งยอดรวมทะลุ 6 ล้านคนตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์ ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่าถ้านักท่องเที่ยวมาเต็มที่ ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคที่ดีเด่นเป็นพิเศษ เป็นภาคที่สำคัญ เพราะคิดเป็น 15% ของ GDP ไทย และเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังคับขัน ดังนั้น ภาคท่องเที่ยว จึงเป็นธีมที่สำคัญในการลงทุน และในภาคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร การเดินทาง รวมถึงของฝาก ก็จะได้รับอานิสงค์ด้วย

 

การกลับมาของนักลงทุน

 

หลังจากที่เปิดประเทศ และไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการเข้าเมือง นักธุรกิจจึงเริ่มกลับมาเดินทางอีกครั้งหนึ่ง และมองว่า อาเซียนกำลังกลายเป็น Key Gateway ในการเข้าสู่เอเชีย เนื่องจากรัสเซียกำลังทำสงคราม นักลงทุนที่ไปลงทุนแล้วต้องถอนทุนกลับมา ขณะที่จีนก็กำลังมีปัญหากับสหรัฐฯ จีนจึงกลายเป็นประเทศที่หลายคนกำลังคิดว่าอาจจะไม่ใช่ที่เหมาะสมในการเอาเงินไปลงทุนช่วงนี้ และอินเดีย แม้จะเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจและกำลังเติบโตได้ดี แต่ในอินเดียแต่ละเมืองหรือแต่ละพื้นที่ล้วนมีกฎเกณฑ์ของตนเอง ก็จะเหลือแค่อาเซียนที่เป็นประตูเมืองที่เปิดกว้าง รักนักลงทุน อยู่ง่ายอยู่สบาย ต้นทุนกำลังดี มีกำลังซื้อที่เหมาะสม อาเซียนคือจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมการลงทุนต่างประเทศกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยและประเทศในภูมิภาค

 

อุตสาหกรรมในช่วงถัดไป

 

ประเทศไทย ต้องก้าวขึ้นสู่การใช้เทคโนโลยีในขั้นถัดไป เทคโนโลยีต้องล้ำสมัยเพื่อหา Value ที่สำคัญเพิ่มเติม โดยมีหลายอุตสาหกรรมที่เรียกว่า Intermediate S-Curve เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่น่าสนใจ ดังนี้

 

  • เกษตร อาหาร ชีวภาพ 
  • ท่องเที่ยว สุขภาพ 
  • ยานยนต์
  • ปิโตรเคมีชั้นสูง 
  • Logistics 
  • Digital & Startup 
  • International Hub 

 

ดอกเบี้ยขาขึ้น

 

ดอกเบี้ยทั่วโลกเป็นเทรนด์ขาขึ้น โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกระยะ เพราะเมืองไทยเงินเฟ้อไม่ได้เยอะเหมือนกับประเทศอื่นๆ ขณะที่โลกต้องขึ้นดอกเบี้ยเยอะ เช่น เฟด น่าจะขึ้นดอกเบี้ยไปที่ 5–6% ส่วนแบงก์ชาติก็จะขึ้นดอกเบี้ยไปประมาณ 1–1.5% ถือว่ามีนัยอย่างยิ่ง เพราะหมายความว่าบริษัทจดทะเบียนไทยไม่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินที่เยอะเหมือนประเทศอื่น เพราะได้รับอานิสงส์จากการที่เงินเฟ้อไทยต่ำ

 

ค่าเงินผันผวน บาทอ่อนต่อเนื่อง

 

ค่าเงินเป็นเทรนด์ที่หลายคนต้องจับตามอง โดยมีสาเหตุมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว กดดันให้ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ขึ้นดอกเบี้ยตาม เพื่อไม่ให้ความห่างของดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ห่างมากเกินไป เพราะหากความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ จะดึงดูดเงินออกจากประเทศต่างๆ เพื่อไปรับดอกเบี้ยสูงในสหรัฐฯ ซึ่งเทรนด์นี้ยังไม่จบลงง่ายๆ ในปี 2566 เทรนด์นี้จะกระทบทุกคน และเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเปลี่ยนจะกระทบถึงทองคำ กระทบถึงสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงราคาน้ำมัน

 

การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

 

คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะเติบโตประมาณ 2.7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544 และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ยุโรป และลาตินอเมริกา จะเติบโตประมาณ 1%, 0.5% และ 1.7% ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดเป็นตลาดใหญ่ จะมีก็แต่เอเชียที่ยังพอไปได้ ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอยู่ที่ 4.9%

 

จึงมองว่า อาเซียนคือ Safe Haven เพราะนักลงทุนต้องลงทุนตลอด และนักลงทุนจะมองว่าถ้าลงทุนแล้วที่ไหนจะเสียหายน้อยที่สุด ก็จะเอาเงินจากที่ที่เสียหายเยอะมาที่ที่เสียหายน้อย เช่น ตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลงมาแล้ว 30% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยลงมา 2% เป็นต้น 

 

ตลาดหมีตลาดกระทิง

 

หลังจากตลาดหมีจบและกลับมาเป็นตลาดกระทิง 12 เดือนหลังจากนั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนจะขึ้นมา 50% ในระยะเวลา 1 ปี นี่คือสิ่งที่นักลงทุนรอคอย ปี 2566 คือโอกาสของเรา เพียงแต่ต้องหาจังหวะดีๆ เลือกที่จะลงทุน ไม่มีใครซื้อได้ต่ำสุด และที่สำคัญคือ การลงทุนในช่วงดังกล่าวจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของกระทิงเปลี่ยวและจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่น่าสนใจต่อไป

 

วิกฤตตลาดเกิดใหม่

 

ในปี 2566 ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ จะมีหลายประเทศที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ประเมินว่า 25% ของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ มีปัญหาเรื่องหนี้แล้ว ขณะที่ 60% ของประเทศรายได้ต่ำก็มีปัญหาเรื่องหนี้เช่นกัน โดยช่วงที่ IMF ประเมินดอกเบี้ยสหรัฐฯ อยู่ที่ 3% ถ้าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยไปที่ 5–6% น่าจะมีหลายประเทศที่เกิดปัญหา ซึ่งหมายความว่า ในปี 2566 ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ จะมีความท้าทายอีกแบบหนึ่ง 

 

วิกฤต คือ โอกาส ทุกครั้งที่มีวิกฤต โอกาสจะเปิดขึ้นเสมอ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องประคองตัวให้ได้ ถ้าเราประคองตัวไม่ได้โอกาสจะผ่านเลย เพราะระหว่างที่เราล้มลงไปและลุกขึ้นมาโอกาสจะผ่านไปแล้ว แต่ถ้าเกิดเราประคองตัวได้ดี โอกาสที่เปิดขึ้นก็จะเป็นของเรา 

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats