×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

หุ้นคุณค่า vs หุ้นเติบโต แบบไหนเหมาะกับใคร?

1,570

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

ประเภทของหุ้นที่นักลงทุนนิยมลงทุนกันในตลาด หลักๆ มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ

 

1. หุ้นคุณค่า (Value Stock)

 

หุ้นที่มีราคาหรือมูลค่าต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎี (ของดี ราคาถูก) หรือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว ลักษณะเด่นของหุ้นประเภทนี้ คือ เป็นหุ้นที่เน้นอัตราปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่มักจะมีผลการดำเนินงานเติบโตไม่โดดเด่น 

 

2. หุ้นเติบโต (Growth Stock)

 

เป็นหุ้นที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นและรวดเร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ โดยครอบคลุมตั้งแต่การเติบโตของสินทรัพย์ รายได้ และกำไรของบริษัท ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดจากปัจจัยต่างๆ ทำให้นักลงทุนที่ต้องการเน้นกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) มักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ 

 

หุ้นแบบไหนเหมาะกับใคร?

 

1. มูลค่าเมื่อเทียบกับตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม

 

สำหรับมูลค่าของหุ้นคุณค่า เมื่อเทียบกับตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม มักจะมีมูลค่าที่ต่ำกว่า ในทางตรงกันข้าม หุ้นเติบโต จะมีมูลค่าที่สูงกว่า โดยอัตราส่วนที่นักลงทุนนิยมใช้ 2 อัตราส่วนในการเปรียบเทียบเบื้องต้น คือ

 

  • P/E Ratio เป็นอัตราส่วนที่เปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นและกำไรต่อหุ้น โดยหุ้นคุณค่า (Value Stock) มักจะมีอัตราส่วนดังกล่าวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน ส่วนหุ้นเติบโต (Growth Stock) จะมีอัตราส่วนดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหรือของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน 

 

  • P/BV Ratio เป็นอีกอัตราส่วนที่ใช้บอกว่าซื้อถูกกว่าหรือแพงกว่า เมื่อเทียบกับเจ้าของ ซึ่งมีความผันผวนที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ P/E Ratio โดยหุ้นคุณค่า มักจะมีอัตราส่วนดังกล่าวที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน และหุ้นเติบโตมักจะมีอัตราส่วนดังกล่าวที่สูงกว่า โดยอัตราส่วนดังกล่าว มักจะใช้คู่กันกับ ROE เพื่อดูผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ

 

2. ผลการดำเนินงาน

 

สำหรับหุ้นคุณค่ามักจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จากกระแสเงินสดที่สูง แม้ว่าจะเติบโตน้อยกว่า เมื่อเทียบกับตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ก็ยังเติบโตอย่างมั่นคง สม่ำเสมอ แต่ในทางกลับกัน หุ้นเติบโตจะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วมากกว่า จากการขยายกิจการหรือลงทุนในโครงการใหม่ๆ แต่ความแข็งแกร่งจะน้อยกว่า 

 

3. เงินปันผล

 

แม้ว่าหุ้นคุณค่ามักจะมีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างคงที่ แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนระยะยาวชื่นชอบลงทุนในหุ้นประเภทนี้ คือ เงินปันผล ที่มีอัตราที่สูงกว่าเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยของตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนหุ้นเติบโตจะมีอัตราปันผลที่ต่ำกว่า เนื่องจากกิจการจะนำกำไรไปลงทุนต่อ โดยคาดหวังว่าจะได้กำไรมากขึ้น

 

4. ความผันผวน

 

จากผลการดำเนินงานของหุ้นทั้ง 2 กลุ่ม จะสะท้อนมูลค่าผ่านราคา โดยราคาของหุ้นคุณค่ามักจะมีความผันผวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นเติบโต เนื่องจากหุ้นคุณค่านั้นมักเป็นกิจการขนาดใหญ่และก่อตั้งมานาน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่ากิจการสามารถรับมือกับวิกฤตหรือวัฏจักรเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นอย่างดี แต่หุ้นเติบโตมักจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของผลประกอบการที่สูง แต่ถ้าผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด ก็มีโอกาสที่นักลงทุนจะขายทำกำไร นั่นจึงจะทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูงกว่า

 

5. หุ้นแต่ละประเภทเหมาะกับใคร

 

จากคุณสมบัติของหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโตที่อธิบายมาข้างต้น หุ้นคุณค่าจะเหมาะกับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในระยะยาว และต้องการเงินปันผลระหว่างลงทุน (Dividend) และในทางตรงกันข้าม หุ้นเติบโตจะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นและเน้นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain)

 

คุณสมบัติของหุ้นทั้ง 2 ประเภท เป็นเพียงมุมมองในการจัดประเภทของหุ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนจะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการลงทุน ปัจจัยทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท อุตสาหกรรม หรือภาพรวมของเศรษฐกิจในการตัดสินใจร่วม เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้เป็นไปตามแผนมากขึ้น

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats