×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

เลือกหุ้นลงทุน ทำกำไร ช่วงเลือกตั้ง

737

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ทำการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบระหว่างดัชนีหุ้นไทย (SET Index) และดัชนี MSCI Asia ex. Japan เพื่อพิจารณาว่าปัจจัยด้านการเลือกตั้งมีผลต่อผลตอบแทนดัชนีหุ้นไทยอย่างไร โดยข้อมูลย้อนหลัง 30 ปีครอบคลุมการเลือกตั้ง 10 ครั้ง พบว่าช่วงก่อนเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ และหลังเลือกตั้ง 1 เดือน ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนี MSCI Asia ex. Japan 

 

เช่นเดียวกัน ถ้าพิจารณาเฉพาะดัชนีหุ้นไทยพบว่าช่วงก่อนเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ ดัชนีปรับขึ้นเฉลี่ย 2.1% ขณะที่หลังเลือกตั้ง 1 เดือน ดัชนีปรับขึ้นเฉลี่ย 5.1% หมายความว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงเหมาะกับการลงทุนหุ้นไทยระยะสั้น (เก็งกำไร) เพื่อต้อนรับเทศกาลเลือกตั้ง

 

ถ้าพิจารณาจากการเลือกตั้งครั้งก่อน (24 มีนาคม 2562) พบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4 เดือนติดต่อกัน (เมษายนกรกฎาคม 2562) ประมาณ 74,000 ล้านบาท โดยมีการซื้อสุทธิก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 หมายความว่า นักลงทุนต่างชาติมีมุมมองเชิงบวกต่อการเลือกตั้ง และเมื่อมองการจัดเลือกตั้งทั่วโลกตั้งแต่วันนี้ถึงกลางปีหน้า มีเพียงไทยและตุรกีที่มีการจัดเลือกตั้ง จึงประเมินว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย

 

บทวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดว่านโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคการเมืองจะสร้างสีสันให้กับหุ้นที่เกี่ยวข้องภายใต้เงื่อนไขที่ว่านโยบายเหล่านั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง ควบคู่ไปกับการเก็งกำไรตามสถิติในกลุ่มที่มักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง

 

โดยนโยบายที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ค่อนข้างมีสีสันมากกว่าครั้งก่อนๆ เพราะฝ่ายค้านและรัฐบาลมีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลใกล้เคียงกัน ทำให้การแข่งขันค่อนข้างสูง ขณะที่แต่ละพรรคพยายามออกนโยบายใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสความนิยมในปัจจุบัน เช่น สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมการจ้างงาน และใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เป็นต้น ขณะที่ในอดีตที่นโยบายส่วนใหญ่จะเน้นแก้ปัญหาปากท้องเป็นหลัก 

 

สำหรับนโยบายของพรรคการเมืองในภาพกว้างก็ยังเน้นไปที่การยกระดับการจ้างงานและการลดความเหลื่อมล้ำ โดยการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การบริการทางการแพทย์ และช่วยลดค่าครองชีพ รวมถึงเริ่มเห็นนโยบายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดการใช้พลังงาน ลดคาร์บอน และสนับสนุน EV Car รวมถึง Solar Rooftop ซึ่งจากนี้ไปก็ยังเห็นการออกนโยบายที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และถ้าเชื่อมโยงมายังการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ถ้านโยบายเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยภาพรวมจากการกระตุ้นกำลังซื้อและการลงทุนให้เร่งตัวขึ้น ตามจังหวะการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านกลไกของแต่ละมาตรการ

 

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงกับ Domestic Play (หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศ) เช่น กลุ่มค้าปลีก, ไฟแนนซ์, การแพทย์, อาหารเครื่องดื่ม, สินค้าอุปโภคบริโภค, รวมถึงผู้ให้บริการติดตั้ง Solar Rooftop, ผู้ผลิตรถโดยสารไฟฟ้า, ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า, ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น

 

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าการเลือกตั้งจะมีผลต่อการลงทุน นักลงทุนควรเตรียมแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับช่วงเลือกตั้ง โดยจากผลการศึกษาผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยช่วงก่อนและหลังวันเลือกตั้งที่ดีที่สุดในปี 2544–2562 พบว่าดัชนีหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งเฉลี่ย 3.90% รองลงมาได้แก่ ก่อนเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.09% ขณะที่หลังการเลือกตั้งไปแล้ว 1 สัปดาห์จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.81% และหลังการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.55%

 

สำหรับหุ้นกลุ่มที่มักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวมในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มไอซีที, สื่อและสิ่งพิมพ์, พาณิชย์, อาหารและเครื่องดื่ม, เงินทุนและหลักทรัพย์ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.40%, 7.80%, 6.40%, 5.50% และ 5.20% ตามลำดับ

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats