Warren Buffett เปิดสูตรลงทุนครั้งแรกในวัย 21 ปี
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
ในปี ค.ศ. 1951 ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังจับตาดูความเปลี่ยนแปลงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และกังวลเรื่องเงินเฟ้อ มีชายหนุ่มอายุเพียง 21 ปีในเมือง Omaha รัฐ Nebraska ของสหรัฐอเมริกา กำลังเขียนบทความที่จะกลายเป็นแนวทางการลงทุนระดับตำนานในภายหลัง
บทความเรื่อง The Security I Like Best ที่บัฟเฟตต์ เขียนลงในหนังสือพิมพ์ The Commercial and Financial Chronicle เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 1951 ถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่เผยให้เห็นต้นกำเนิดปรัชญาการลงทุนของเขา ที่ยังคงใช้ได้จนถึงทุกวันนี้
ความเยาว์วัยที่ไม่ธรรมดา
เมื่ออายุเพียง 21 ปี บัฟเฟตต์ได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์การลงทุนที่น่าทึ่ง โดยเขาแนะนำหุ้น Government Employees Insurance Co. (GEICO) ด้วยเหตุผลที่ชัดเจนและเป็นระบบ ไม่ใช่เพราะความรู้สึกหรือกระแสตลาด
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในการวิเคราะห์ของบัฟเฟตต์ คือ การมองหามูลค่าที่แท้จริงในราคาปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับประมาณ 8 เท่าของกำไรในปี 1950 ซึ่งเป็นปีที่ย่ำแย่ของอุตสาหกรรม “ดูเหมือนว่าราคาหุ้นไม่ได้สะท้อนศักยภาพการเติบโตอันยิ่งใหญ่ของบริษัทเลย” บัฟเฟตต์ บอก
ข้อได้เปรียบที่แท้จริง
บัฟเฟตต์ระบุข้อได้เปรียบหลักของ GEICO ว่าอยู่ที่ “อัตรากำไรขั้นต้น” ที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างมาก เขาเขียนเอาไว้ว่า “ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของ GEICO คือ อัตรากำไรขั้นต้นที่เหนือกว่าคู่แข่ง ในปี 1949 อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจประกันภัยของ GEICO อยู่ที่ 27.5% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 6.7%”
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ GEICO มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากคู่แข่งโดยสิ้นเชิง โดยเป็นบริษัทขายประกันภัยตรงสู่ลูกค้าโดยไม่ผ่านนายหน้า ไม่มีสาขา ทำให้สามารถเสนอเบี้ยประกันภัยในราคาถูกกว่าได้มาก และยังบริหารจัดการเคลมได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านเครือข่ายตัวแทนทั่วประเทศ
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ การเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดย GEICO เน้นขายให้กับข้าราชการ พนักงานรัฐ พนักงานมหาวิทยาลัย และผู้รับเหมากระทรวงต่างๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือสูง ลดความเสี่ยงในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
บทเรียนที่น่าสนใจ
สิ่งที่น่าสนใจ คือ แนวคิดของบัฟเฟตต์สามารถประยุกต์ใช้ในการลงทุนในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน โดยเมื่อดูบริษัทประกันภัยไทยในปัจจุบัน จะพบว่าบริษัทที่มีช่องทางการขายที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพก็มักจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่าคู่แข่ง
สิ่งที่บัฟเฟตต์มองในธุรกิจประกันภัย คือ ลักษณะพิเศษที่ไม่มีในธุรกิจอื่น ประกันภัยรถยนต์เป็นสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่และมีการต่ออายุกรมธรรม์ทุกปี นอกจากนี้ ยังไม่มีปัญหาด้านสินค้าคงคลัง การเก็บหนี้ ปัญหาแรงงานหรือสินค้าล้าสมัย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบขั้นพื้นฐานของอุตสาหกรรม
แม้ในปี 1950 ที่ตลาดประกันภัยทำผลงานได้ไม่ดี แต่ GEICO ก็ยังสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ถึง 18% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่เพียง 3% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจ
ความคิดสุดล้ำยุค
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุด คือ บัฟเฟตต์ได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่อง “กำไรต่อหุ้น” และ “อัตราส่วนราคาต่อกำไร” ในขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนในยุคนั้นยังไม่ให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดเหล่านี้ เขาบอกว่า “ณ ราคา 42 ดอลลาร์ต่อหุ้น นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 7.7% จากเงินปันผล และยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกด้วย”
การคำนวณนี้แสดงให้เห็นความเข้าใจเรื่องมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) และการเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงในยุคนั้น
ส่องวิธีคิดที่ยั่งยืน
บทความชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแนะนำหุ้นเท่านั้น แต่เป็นการสอนวิธีคิดในการลงทุน โดยบัฟเฟตต์ไม่ได้พูดถึงกราฟราคาหรือข่าวลือในตลาด แต่เน้นไปที่ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ การแข่งขัน และศักยภาพในอนาคต
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเรียนรู้สไตล์บัฟเฟตต์ บทเรียนสำคัญจากบทความนี้ คือ การมองหาบริษัทที่มี
- ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น ต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง หรือตำแหน่งที่เป็นผู้นำในตลาด
- การจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยดูจากอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และการเติบโตที่ยั่งยืน
- ราคาที่สมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับกำไรและศักยภาพการเติบโต
การเดิมพันของบัฟเฟตต์กับ GEICO ไม่ได้จบลงเพียงแค่บทความในปี 1951 เท่านั้น เพราะต่อมาในปี 1976 เมื่อ GEICO เผชิญกับปัญหาทางการเงินร้ายแรง บัฟเฟตต์และ Berkshire Hathaway ได้เข้าไปช่วยเหลือและซื้อหุ้นของบริษัทเพิ่มเติม จนกระทั่งปี 1996 Berkshire ได้ซื้อ GEICO ทั้งหมด และวันนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่สำคัญที่สุดของ Berkshire โดยมีส่วนแบ่งตลาดประกันภัยรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาอันดับสอง การคาดการณ์ของบัฟเฟตต์หนุ่มจึงได้รับการพิสูจน์อย่างงดงาม
บทสรุป…เมื่อมองย้อนกลับไปเกือบ 75 ปี บทความของบัฟเฟตต์ ด้วยวัย 21 ปีชิ้นนี้ยืนยันให้เห็นว่า หลักการลงทุนที่ดีนั้นไม่เคยล้าสมัย บทความนี้แสดงให้เห็นถึงการค้นหา “หุ้นที่ราคาถูกกว่ามูลค่า มีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง และศักยภาพการเติบโตสูง” ซึ่ง GEICO ในเวลานั้นถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ
การเน้นคุณภาพของธุรกิจมากกว่าความผันผวนของราคา การอดทนรอคอยโอกาสที่เหมาะสม และการลงทุนด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง เหล่านี้ คือ สิ่งที่ทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็นนักลงทุนระดับตำนาน ที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจ บทความนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า ความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้มาจากการคาดเดาทิศทางตลาด แต่มาจากการเข้าใจธุรกิจและการมีสายตายาวไกล และแนวคิดนี้ก็สามารถนำไปปรับใช้กับการลงทุนในหุ้นยุคปัจจุบันได้เช่นกัน