×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

1O กองทุน ETF ค่าย BlackRock ป๊อปปูลาร์สูงสุด

405

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

ทำไม ETF ของ BlackRock จึงได้รับความนิยมสูงสุด?…และกองทุน ETF ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

 

ในโลกของการเงินที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส การเข้าถึงเครื่องมือการลงทุนที่ทรงพลังและน่าเชื่อถือ คือหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาว และชื่อของ BlackRock บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ได้รับความนิยมติดอันดับต้นๆ ของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด ETF (Exchange Traded Funds) หรือกองทุนรวมดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง BlackRock คือเจ้าของ iShares แบรนด์ ETF ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากที่สุดในโลก

 

BlackRock สถาปนิกแห่งการลงทุนยุคใหม่

 

BlackRock ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ทั่วไป แต่เป็นผู้บุกเบิกที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การลงทุนให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับทุกคน ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในระดับ “ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” บริษัทนี้จึงเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรม และกุญแจสำคัญที่ทำให้ BlackRock ยิ่งใหญ่คือ iShares ซึ่งเป็นแบรนด์เรือธงที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ ETF โดยเฉพาะ

 

ซึ่งสินทรัพย์การลงทุนกองทุน ETF นับเป็นการปฏิวัติการลงทุน เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภทได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ากองทุนรวมแบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด และด้วยความที่ BlackRock คือผู้ที่มองเห็นศักยภาพของ ETF ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม จึงทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม iShares ให้เป็นผู้นำตลาดโลก ทั้งในแง่ของจำนวนกองทุนและความหลากหลายของสินทรัพย์

 

ทำไม ETF ของ BlackRock (iShares) จึงได้รับความนิยมสูงสุด

 

1. ความน่าเชื่อถือระดับโลก 

 

BlackRock คือชื่อที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยทั่วโลก ประวัติการบริหารที่ยาวนานและความสำเร็จที่พิสูจน์ได้ ทำให้การตัดสินใจลงทุนในกองทุนของ BlackRock เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความมั่นใจ โดยก่อตั้งขึ้นในปี 2531 ณ นครนิวยอร์ก โดย Larry Fink และกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งรวม 8 คน จุดเริ่มต้นมาจากการบริหารเงินโดยเน้นการจัดการความเสี่ยงในตราสารหนี้และการวิเคราะห์ตราสารจำนองสำหรับลูกค้าสถาบัน

 

2. ความหลากหลายที่เหนือกว่า 

 

ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยอย่างการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงอย่างการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการเจาะลึกไปในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น พลังงานสะอาด หรือเทคโนโลยี AI กองทุน iShares มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ครอบคลุม

 

3. ค่าธรรมเนียมที่ต่ำและโปร่งใส 

 

หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของ ETF คือค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไปมาก และ iShares ก็ตอกย้ำจุดแข็งนี้ด้วยการเสนอค่าธรรมเนียมในอัตราที่สามารถแข่งขันได้ ทำให้ผลตอบแทนสุทธิของนักลงทุนสูงขึ้นในระยะยาว

 

4. พลังของเทคโนโลยี 

 

เบื้องหลังความสำเร็จของ BlackRock คือแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการบริหารความเสี่ยงระดับโลกที่ชื่อว่า Aladdin ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ Big Data ในการวิเคราะห์และจัดการพอร์ตการลงทุน ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

 

5. สภาพคล่องสูง 

 

เนื่องจาก ETF สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนจึงมีอิสระในการซื้อขายและปรับพอร์ตได้ตามต้องการ ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงกว่ากองทุนรวมแบบดั้งเดิม

 

ความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย ทางเลือกใหม่ในการสร้างความมั่งคั่ง

 

แม้ว่า BlackRock จะเป็นบริษัทระดับโลก แต่สำหรับนักลงทุนไทย การเข้าถึงกองทุน iShares ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก โดยสามารถทำได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

 

  •  การซื้อขายผ่านแอปพลิเคชัน สามารถเริ่มต้นเปิดพอร์ตได้ผ่านแอปพลิเคชันโบรกเกอร์ในไทย หรือบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ที่มีบริการที่รองรับการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายกองทุน iShares ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ได้โดยตรง โดยมีขั้นต่ำเพียง 1 หน่วย ซึ่งเป็นการลดข้อจำกัดในการเข้าถึงการลงทุนในต่างประเทศ

 

  •  การกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มกองทุน iShares เข้าไปในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงที่กระจุกตัวอยู่ในตลาดในประเทศ และเปิดโอกาสในการรับผลตอบแทนจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโต ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวม

 

  • การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ระดับโลก การลงทุนใน iShares ทำให้สามารถเป็นเจ้าของส่วนเล็กๆ ในบริษัทชั้นนำระดับโลก หรือเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลายได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจโลก

 

Total Asset ดัชนีชี้วัดความนิยมที่แท้จริง

 

เมื่อพูดถึงความนิยมของกองทุน การพิจารณาแค่ผลตอบแทนระยะสั้นอาจไม่เพียงพอ ทำให้นักลงทุนมักจะพิจารณา Total Asset (ยอดสินทรัพย์ทั้งหมด) ประกอบด้วย ถือเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความนิยมของกองทุนนั้นๆ

 

1. สะท้อนความเชื่อมั่น 

 

กองทุนที่มี Total Asset ขนาดใหญ่บ่งบอกว่าสามารถระดมเงินทุนจากนักลงทุนได้จำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อนโยบายการลงทุนและประสิทธิภาพของผู้จัดการกองทุน

 

2. ข้อได้เปรียบในการบริหาร 

 

กองทุนที่มีขนาดใหญ่จะได้เปรียบจาก Economies of Scale หรือการประหยัดจากขนาด ทำให้ต้นทุนการจัดการต่อหน่วยลดลง นอกจากนี้ยังมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตและรองรับการไถ่ถอนของนักลงทุนได้ดีกว่ากองทุนขนาดเล็ก

 

3. ความมั่นคง 

 

ขนาดสินทรัพย์ที่ใหญ่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนระยะยาวให้ความสำคัญ

 

ก้าวต่อไปของนักลงทุน

 

การลงทุนในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การซื้อขายหุ้นรายตัวอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างลงทุนที่แข็งแกร่งและกระจายความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์ และกองทุน ETF ของ BlackRock คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้

 

ด้วยชื่อเสียงระดับโลก ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีการบริหารจัดการที่ทันสมัย และต้นทุนที่เข้าถึงง่าย iShares จึงเป็นมากกว่าแบรนด์ ETF แต่เป็นทางเลือกที่ช่วยให้นักลงทุนทุกคนสามารถเริ่มต้นเส้นทางการลงทุนระดับโลกได้อย่างมั่นใจ

 

สำหรับนักลงทุนไทยที่มองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศ การศึกษาและพิจารณาลงทุนในกองทุน ETF ของ BlackRock จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายความเสี่ยงในโลกการลงทุนที่ไม่มีพรมแดน

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats