5 ไม่... ทำให้เจ๊ง!!
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
ช่วงนี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความสดใสมาก ดัชนีหุ้นปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนหลายๆ คนฝันถึง 2,000 จุดในเร็ววัน และปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงตลาดหุ้นแปลงร่างเป็นกระทิง จะมีนักลงทุนหลายคนหลงระเริงกับผลตอบแทนสวยงาม จนลืมตัวและลืมระวังภัยที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเงินลงทุน
ที่ผ่านๆ มา หากสอบถามนักลงทุนที่ล้มเหลวกับการลงทุนในตลาดหุ้น มีเพียงส่วนน้อยที่สูญเสียเพราะปัจจัยทางด้านตลาด เพราะเกือบร้อยทั้งร้อยจะตอบว่าที่ลงทุนเหลวผิดพลาดเกิดจากพฤติกรรม การตัดสินใจของตัวเองล้วนๆ และนี่คือ 5 ปัจจัยหลักที่ทำให้การ
1.ไม่วางแผน
นักลงทุนหลายๆ คนที่กระโดดเข้ามาในตลาดหุ้น เพียงเพราะเห็นคนรอบๆ ข้างทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำจึงอยากเป็นแบบนั้นบ้าง โดยที่ตัวเองไม่ได้วางแผนอะไรเลย พูดง่ายๆ คิดแล้วก็ลงมาลุยเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าหุ้นที่ซื้อไปนั้นทำธุรกิจอะไร งบการเงินไม่เคยเปิดดู ที่สำคัญไม่รู้จักตัวเองว่ามีสไตล์การลงทุนเป็นแบบไหน
2.ไม่เดินตามแผน
เมื่อตัดสินใจซื้อหุ้นไปแล้ว นักลงทุนบางคนจะทำให้เสียแผนอยู่เป็นประจำ เช่นตั้งใจว่าจะลงทุนในหุ้นระยะยาว แต่เมื่อเห็นราคาหุ้นที่ซื้อปรับลดลงก็ตกใจ รีบเทขายทิ้งทันที ไม่อดทนรอผลตอบแทนตามเป้าหมายวางไว้ หรือบางคนขายหุ้นในพอร์ตเพื่อนำเงินไปถอยรถรุ่นใหม่ที่อยากได้
3.ไม่บริหารความเสี่ยง
สังเกตได้ว่าช่วงตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น นักลงทุนมักจะสนใจแต่ทำกำไรเป็นหลักและซื้อหุ้นตามกระแส เห็นคนรอบข้างซื้อตัวไหนก็แห่ตามกันไป ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีสไตล์ชอบเสี่ยงอะไรมากนัก แต่ด้วยคำว่ากำไรสูงๆ ล่อตาล่อใจ ทำให้เกิดความโลภ และเมื่อถึงจังหวะตลาดหุ้นปรับฐาน ราคาหุ้นที่ซื้อเอาไว้ปรับลดลงก็ทำใจลำบาก ตัดใจขายขาดทุน เจ็บตัวกันไป เจ็บใจฟรีๆ
4.ไม่ยอมรับความจริง
นักลงทุนบางกลุ่มที่ยังมีความเชื่อว่าตัวเองมีความแม่นยำ มั่นใจกับฝีมือกับการซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำที่สุดและสามารถขายที่ราคาสูงสุดได้ ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่ควรขายก็ไม่ขายเพราะเชื่อว่าราคายังไปต่อได้อีก เช่นเดียวกันเมื่อถึงเวลาที่ควรซื้อก็ไม่ซื้อเพราะเชื่อว่าราคายังจะลงไปได้อีก ซึ่งนักลงทุนประเภทเห็นมานักต่อนักแล้วที่ผลลัพธ์ลงเอยด้วยการซื้อตอนแพงและขายตอนถูก
5.ไม่พอดี
นักลงทุนประเภทนี้เข้าข่าย “กล้าเกินตัว หรือไม่ก็กลัวเกินไป” ทำให้การลงทุนผิดพลาดจากแผนที่วางเอาไว้เสมอ ซึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้ข้อคิดเอาไว้ว่า “ควรกลัวในยามที่คนอื่นโลภ และควรโลภในยามที่คนอื่นกลัว” เพราะความโลภมักบังตาให้มองเห็นความเสี่ยงที่ต่ำจนเกินไป ผลลัพธ์อาจทำให้การลงทุนล้มเหลว ในขณะที่ความกลัวจะทำให้ไม่กล้าตัดสินใจก็ทำให้สูญเสียโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นไปอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น หากตัดคำว่า “ไม่” ทั้ง 5 นี้ออกไป รับรองจะทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม