×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

หุ้น Tech vs. หุ้น Cyclical ลงทุนอะไรดี

3,147

 

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

ปีนี้ หุ้นเทคโนโลยีคือหุ้นที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับนักลงทุนทั่วโลก เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ ทุกกลุ่ม รวมทั้ง asset class แบบดั้งเดิมทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น หุ้นกู้เอกชน ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ เงินสกุลหลักๆ ของโลก

 

ปัจจัยที่สนับสนุนให้หุ้นเทคโนโลยีโดดเด่นกว่าสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ คือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ ซึ่งต้องพึ่งพาอุปกรณ์เทคโนโลยีมากขึ้นกว่าเดิมมาก

 

ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ราคาหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 40% ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 1% หุ้นในกลุ่ม FAANG – Facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google – ปรับขึ้นเฉลี่ย 50% หุ้นน้องใหม่อย่าง Zoom ที่ได้อานิสงส์จากการ work from home ปรับขึ้นเกือบ 600%

 

ปรากฎการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐฯ แต่หุ้นเทคโนโลยีในทุกประเทศปรับขึ้นกันถ้วนหน้า อาทิเช่น หุ้น Tencent ของจีน ขึ้น 59% หุ้น Alibaba ขึ้น 44% หุ้น SEA ของสิงคโปร์ เจ้าของ Shopee ขึ้นเกือบ 300% เป็นต้น

 

ในทางกลับกัน หุ้น Cyclical หรือ หุ้นที่ขึ้นลงตามวัฎจักรเศรษฐกิจ ติดลบกันเกือบหมดในช่วง 10 เดือนแรก หุ้นธนาคารทั่วโลกปรับลงเฉลี่ย 40% หุ้นสายการบินทั่วโลกลง 47% หุ้นโรงแรมในสหรัฐฯ ลง 46% หุ้น Exxon ลง 54% หุ้น Macy’s ลง 63% เป็นต้น

 

จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้น Cyclical หลังบริษัทยา Pfizer/BioNTech ตามด้วย Moderna เปิดเผยผลการทดสอบวัคซีนโควิดที่ประสบความสำเร็จถึง 90% และ 94.5% ตามลำดับ เพราะเริ่มเกิดความคาดหวังในตลาดทุนว่าเศรษฐกิจโลกมีโอกาสฟื้นตัวเร็วและแรงกว่าคาด

 

ปัจจัยหลักที่สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนคือ ประสิทธิภาพของวัคซีนที่สูงกว่า 90% เพราะหมายถึงสัดส่วนประชากรที่ต้องได้รับวัคซีนเพื่อทำให้เกิด herd immunity หรือ ภูมิคุ้มกันระดับชุมชน จะลดลงเหลือเพียง 60-65% เทียบกับ 100% ถ้าประสิทธิภาพอยู่ที่ 50%

 

ถึงแม้กำลังการผลิตของทั้ง Pfizer และ Moderna รวมกันที่ 1,800 ล้านโดสในปีหน้าจะไม่เพียงพอสำหรับทุกคน แต่น่าจะพอที่จะทำให้เกิด herd immunity ในประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น แคนาดา เกาหลีใต้ บราซิล ออสเตรเลีย และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมี GDP รวมกันคิดเป็น 60% ของ GDP โลก มีประชากรรวมกัน 1,300 ล้านคน และเกือบทุกประเทศได้สั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้าจากสองบริษัทนี้แล้ว

 

นอกจากนั้น ถ้าจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ถึง 18% ของ GDP โลก สามารถผลิตวัคซีนได้สำเร็จเช่นกัน (บริษัทยาของจีน 4 แห่งกำลังอยู่ในขั้นทดลองเฟส 3) ก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิดได้เร็วยิ่งขึ้น

 

คำถามที่ผมถูกถามมากที่สุดในช่วงนี้คือ ควรซื้อหุ้น Cyclical หรือยัง?

 

ในความเห็นของผม นักลงทุนควรเริ่มทยอยสะสมหุ้น Cyclical ได้แล้วเพราะหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะ outperform หุ้นกลุ่มอื่นๆ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ด้วยเหตุผลดังนี้

ข้อหนึ่ง ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจหลายตัว เช่น Global PMI หรือ OECD CLI บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ภาวะฟื้นตัวแล้ว และถ้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 เริ่มพร้อมใช้งานในต้นปีหน้าได้จริง ก็จะยิ่งช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ความเสี่ยงที่จะเกิดการทรุดตัวอีกรอบของเศรษฐกิจโลกดูแล้วมีต่ำมาก

 

ข้อสอง ผลประกอบการของหุ้น Cyclical มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดดในปีหน้า จากฐานที่ต่ำมากๆในปีนี้ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มดีขึ้น ซึ่งก็จะช่วยทำให้ระดับ valuations และ P/E ratio ของหุ้นกลุ่มนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

ข้อสาม ถึงแม้ราคาหุ้น Cyclical จะเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็ยังเป็น laggard ที่ underperform หุ้นกลุ่มอื่นๆ อยู่พอสมควร

 

สำหรับตลาดหุ้นไทย เราน่าจะได้รับอานิสงส์ด้วยประการทั้งปวง เพราะหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยคือ หุ้น Cyclical จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เม็ดเงินต่างชาติจะทยอย rotate เข้าตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า

 

ถ้าถามต่อว่าควรขายหุ้นเทคโนโลยีออกไปทั้งหมดหรือไม่ คำตอบคือไม่จำเป็น เพราะแนวโน้มในระยะยาวของหุ้นกลุ่มนี้ยังดูสดใส โดยได้แรงสนับสนุนจากวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ยังไม่น่าจบสิ้นเพียงเท่านี้

 

 

#WealthMeUp

 

ที่มาข้อมูล :

คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

https://www.facebook.com/1822279580/posts/10215273060099425/

 

Related Stories

amazon anti fatigue mats