1O หุ้นน่าจับตามอง ราคาปิดใกล้จุดต่ำสุด 52 Weeks
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
ราคาสูงสุดหรือต่ำสุดใน 52 สัปดาห์ เป็นตัวบ่งชี้ถึงความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจึงใช้ดูแนวโน้มราคาหุ้นว่ายังมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันกับรอบ 52 สัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อธิบายว่าตัวเลขราคาหุ้นสูงสุดหรือต่ำสุดใน 52 สัปดาห์ หมายถึงความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจึงใช้ดูเพื่อประเมินแนวโน้มราคาหุ้นว่าในอนาคตจะเคลื่อนไหวเหมือนกับช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมามากน้อยแค่ไหน
การใช้จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด 52 สัปดาห์ในการประกอบการตัดสินใจลงทุน ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการวิเคราะห์ ถ้าเป็นนักลงทุนสไตล์เน้นหุ้นคุณค่า เน้นปัจจัยพื้นฐาน จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด 52 สัปดาห์อาจบอกได้เพียงว่าปีที่ผ่านมามีความผันผวนมากน้อยเพียงใด แต่ถ้าเน้นลงทุนระยะสั้น เน้นปัจจัยทางเทคนิคจะใช้เพื่อพยากรณ์ราคาหุ้นในอนาคต แปลว่า จะใช้จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด 52 สัปดาห์ในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น เช่น ถ้าราคาหุ้นลงมาทดสอบที่จุดต่ำสุด 52 สัปดาห์ จะเป็นจุดเข้าซื้อเพราะราคาหุ้นอาจปรับลดลงมากกว่ามูลค่าที่แท้จริงและอาจเป็นสัญญาณการกลับตัวของราคาหุ้นหากมีแรงซื้อเข้ามามาก ณ จุดต่ำสุด
ยกตัวอย่างเช่น ในรอบ 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น XYZ ปิดสูงสุด 20 บาท ปิดต่ำสุด 10 บาท โดยเมื่อวานนี้ราคาปิดที่ 12 บาท ถ้าเป็นลักษณะนี้อาจสะท้อนว่าราคาหุ้นอยู่ในช่วงการทดสอบราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ หรือเรียกว่าเป็นระดับราคาที่เป็นแนวรับ และยิ่งมีปริมาณการซื้อเข้ามาในระดับราคานี้ก็จะหยุดไม่ให้ราคาปรับลดลงไปมากกว่านี้หรือหลุดแนวรับอาจเป็นการส่งสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น แปลว่าถ้าซื้อหุ้นได้ที่ราคา 12 – 13 บาท มีโอกาสทำกำไรได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อซื้อหุ้นไปแล้วแต่ราคากลับปรับลดลงจนต่ำกว่า 10 บาท เรียกว่าหลุดแนวรับ นักลงทุนต้องทำการขายตัดขาดทุน (Cut Loss) เพื่อรักษาเงินลงทุนของตัวเอง ส่วนจะขายตัดขาดทุนที่ระดับราคาไหนก็ขึ้นอยู่กับการวางกลยุทธ์ เช่น ถ้าราคาหุ้นปรับลดลงจากราคาซื้อ 5% ก็เป็นจุดขายตัดขาดทุน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขราคาหุ้นสูงสุดหรือต่ำสุดใน 52 สัปดาห์ เป็นองค์ประกอบหนึ่งก่อนการตัดสินใจลงทุน ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับราคาใกล้ต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญและเป็นจุดซื้อที่น่าสนใจ แต่ควรศึกษาข้อมูลและใช้ปัจจัยและเครื่องมือการลงทุนอื่น ๆ เช่น กราฟเทคนิคสำคัญ ผลการดำเนินงาน อัตราส่วนทางการเงิน เป็นต้น ในการประเมินเพื่อลดความเสียหายจากการลงทุน
