×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

ทำไม? เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ยุคโตต่ำ 2%

191

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

KKP Research ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้าลงหลังโควิด-19 ไม่ได้เป็นเพียงการโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่อาจเป็นเพราะศักยภาพเศรษฐกิจไทยกำลังถดถอยลง ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตได้ต่ำกว่า 2% ด้วย 3 เหตุผลหลัก ได้แก่

 

1. ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ภายใต้ภาวะการแข่งขันจากต่างประเทศที่เข้มข้นขึ้น 

2. กำลังแรงงานที่ทั้งลดลงและแก่ตัวลง 

3. ขาดการลงทุนที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพของปัจจัยการผลิต

 

ดังนั้น นโยบายการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่การลงทุน และพัฒนาเทคโนโลยี จึงเป็นทางออกสำคัญที่จะยกศักยภาพเศรษฐกิจไทย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก นอกจากนี้ การปฏิรูปภาคการคลังและระบบภาษีก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในวันที่คนไทยกำลังแก่ตัวขึ้น

 

ศักยภาพเศรษฐกิจไทยต่ำลงทุกวิกฤต

 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเริ่มถูกพูดถึงอีกครั้งในวงกว้าง หลังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังการระบาดของโควิด-19 ยังไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ จนเริ่มมีคำถามว่า “หรือเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่กำลังโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้ลดต่ำลงไปแล้ว?”

 

หากย้อนกลับไปดูเศรษฐกิจไทยในรอบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่น่าแปลกใจที่หลายฝ่ายจะมีข้อสังเกตแบบนี้ เพราะทุกครั้งที่ไทยต้องเผชิญกับวิกฤตที่ทำให้เศรษฐกิจไทยต้องหดตัวรุนแรง แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะลดต่ำลงทุกครั้ง โดยนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตลดลงจากมากกว่า 7% ในช่วงก่อนหน้า มาเหลือเพียง 5% หลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 3% และหลังวิกฤตโควิด-19 ในปี 2562 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยได้เพียง 2%

 

แรงงานหดหาย ฉุดเศรษฐกิจ

 

ปัจจัยด้านแรงงาน สำหรับประเทศไทยนอกจากจะเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged society) ซึ่งหมายถึงการที่มีประชากรอายุมากกว่า 65 ปี เป็นสัดส่วนมากกว่า 20% แล้ว กำลังแรงงานในวัยทำงาน (15-60 ปี) ก็ได้ลดลงแล้วด้วย 

 

จากประมาณการของสหประชาชาติ คาดว่าประชากรไทยจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2573 โดยประชากรวัยทำงาน ได้ผ่านจุดสูงสุดไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ปี 2555 และจะหดตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 0.7% จนลดลงเหลือสัดส่วนเพียง 60% ของประชาการทั้งหมดในปี 2573 จาก 70% ในปี 2012 ขณะที่ประชากรวัยเด็กมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ยปีละ 1.8% ต่อปีจนถึง 2573 ทั้งหมดนี้ สวนทางกับประชากรผู้สูงอายุกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2555 เป็น 20% ในปี 2566

 

ประชากรวัยทำงาน-วัยเด็กที่ลดลง ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ท้าทายเศรษฐกิจไทย

 

ประเด็นแรก คือ กำลังซื้อในประเทศจะลดลง และจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อไทยเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังซื้อสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ คาดว่าจะหดตัวลง แต่สินค้าอย่างสินค้า หรือบริการด้านสุขภาพ และสินค้าจำเป็นจะเติบโตมากขึ้น

 

ประเด็นที่สอง คือ นอกจากกำลังแรงงานลดลงแล้ว ผลิตภาพแรงงานก็ลดลงด้วย โดยกำลังแรงงานผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2555 และจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ผลิตภาพแรงงานที่สะท้อนความสามารถในการทำงานของแรงงานไทย ก็ชะงักงันหรือเติบโตได้เล็กน้อยมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกัน

 

การลงทุนหายไปตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง

 

เมื่อกำลังงานแรงงานกำลังหดตัว การสะสมทุนหรือเทคโนโลยี ควรจะเพิ่มขึ้นมาชดเชยความสามารถในการผลิตที่จะหายไป แต่ระดับการลงทุนในเศรษฐกิจไทย กลับหายไปนับตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จากที่มีการสะสมทุนเฉลี่ยปีละ 6.6% ต่อปี ลดลงเหลือ 2.1% ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา

 

KKP Research มองว่าฐานผู้บริโภคที่หดตัวลง การค้าโลกที่ผ่านยุคทองไปแล้ว ความสามารถในการแข่งขันโดยรวมที่ลดลง และการขาดการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน มีส่วนทำให้การสะสมทุนในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งลดลง ขณะที่แนวโน้มในอนาคต ความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์ และห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนไป จะสร้างความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นอีก

 

นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคเอกชนโดยรวมที่สูงขึ้น คุณภาพของหนี้ที่ลดลง นโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ และการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในระยะหลัง ทำให้โอกาสที่จะขยายการลงทุนในเศรษฐกิจไทยโดยรวมลดลงไปด้วย

 

ผลิตภาพอยู่ในช่วงขาลง

 

นอกจากการสะสมทุนเพื่อการผลิตแล้ว อีกทางหนึ่งที่สามารถชดเชยกำลังแรงงานได้คือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อทำให้แรงงาน 1 คน หรือ ทุน 1 หน่วยสามารถผลิตสินค้าและบริการได้มากขึ้น หรือคือมี ‘ผลิตภาพ’ หรือ ‘Productivity’ มากขึ้น

 

แม้ว่าผลิตภาพของไทยส่วนหนึ่งจะได้รับผลกระทบจาก “วัฏจักรเศรษฐกิจ” ในระยะสั้น แต่ภาพในระยะยาวจากข้อมูลของ Penn World Table พบว่าผลิตภาพในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

KKP Research มองว่ามี 3 ปัจจัย ที่ทำให้ผลิตภาพของไทยลดลง  

 

1. การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนภาคบริการ ที่มีมูลค่าเพิ่มหรือผลิตภาพต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรม  

2. คุณภาพของการศึกษาที่นำไปสู่ปัญหาคุณภาพแรงงาน 

3. การขาดการลงทุน ทั้งจากธุรกิจภายในประเทศและจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และขาดนโยบายสนับสนุนนวัตกรรม และการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน

 

หากไม่มีการลงทุนที่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีที่สำคัญต่อเศรษฐกิจในอนาคตและทุนมนุษย์ คงเป็นไปได้ยากที่ผลิตภาพจะเพิ่มขึ้น จนสามารถชดเชยจำนวนแรงงานหรือทุนที่ลดลงไป

 

ปฏิรูป 4 ด้านยกระดับ GDP

 

KKP Research ประเมินว่า ‘ศักยภาพ’ การเติบโตของเศรษฐกิจไทย อาจจะลดลงมาอยู่ที่เพียงต่ำกว่า 2% หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยเสนอแนะว่า รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปใน 4 ด้าน เพื่อยกระดับศักยภาพ GDP อีกครั้ง ได้แก่

 

1. เพิ่มผลิตภาพ ดึงดูดแรงงานทักษะสูง โดยหากไทยจะสามารถกลับมาเนื้อหอม และดึงดูดการลงทุนได้อีกครั้ง การปฏิรูปการศึกษาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อเพิ่มแรงงานทักษะสูงที่จะมาพร้อมกับการลงทุนใหม่ๆ นอกจากนี้ การทบทวนนโยบายนำเข้าแรงงานทักษะสูง จะต้องคิดใหม่ เพื่อให้สามารถดึงดูดแรงงานที่ประเทศไทยยังขาด และที่สำคัญคือนโยบายส่งเสริมการแข่งขัน และต่อด้านการผูกขาด

 

2. การเปิดเสรีภาคบริการ เนื่องจากเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและมีผลต่อศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่สุด โดยเฉพาะการส่งเสริมและเพิ่มการแข่งขันในภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคอื่นๆ ในการทำธุรกิจ

 

3. เพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตร ภาคการเกษตรนับเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพต่ำสุด แต่มีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจมากในแง่ของสัดส่วนแรงงาน การเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตรและแรงงานในภาคเกษตร และการเพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร จะช่วยเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้อีกมาก

 

4. ปฏิรูปภาคการคลัง ประเด็นนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับการยกระดับศักยภาพโดยตรง แต่ความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุ ย่อมนำไปสู่ความเสี่ยงทางด้านการคลังของประเทศโดยตรง การที่ฐานภาษีที่อยู่ในระดับต่ำ (สัดส่วนรายได้ต่อ GDP อยู่ที่เพียงไม่ถึง 15% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหลายประเทศ) และรายจ่ายด้านสาธารณสุขที่สูงขึ้นต่อเนื่อง จึงเป็นไปได้ยากที่ภาครัฐจะสามารถลงทุนขนาดใหญ่เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยได้อย่างจริงจัง หากไม่จัดการปัญหาด้านภาระทางการคลังเสียก่อน

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats