×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

1O หุ้นรถยนต์ EV เงินปันผลสูง

298

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

ภายในปี 2578 IEA ตั้งเป้าให้ยอดขายทั่วโลกกว่า 50% เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ เพื่อช่วยลดความต้องการใช้น้ำมันกว่า 6-10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2567 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนตั้งเป้าให้ทำยอดขายได้ 10 ล้านคัน คิดเป็นประมาณ 45% ของยอดขายรถทั้งหมดในจีน 

 

ส่วนในสหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตเจ้าใหญ่อันดับ 2 ของโลก ก็คาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโต 20% เพิ่มจากปี 2566 คิดเป็น 11% สำหรับยอดขายรถใหม่ ส่วนตลาดยุโรปก็อาจจะทำยอดขายเพิ่มได้ 10% คิดเป็น 25% ของยอดขายทั้งหมด 

 

ด้าน BloombergNEF ให้ข้อมูลว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตจาก 13.9 ล้านคันในปี 2566 เป็นมากกว่า 30 ล้านคันในปี 2570 เทียบเท่ากับอัตราการเติบโตเฉลี่ย 21% ต่อปีในช่วง 4 ปี (2566-2570) เทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ย 61% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2563- 2566 และสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเฉลี่ยสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วโลกเติบโตเป็น 33% ในปี 2570 จาก 17.8% ในปี 2566 

 

โดยมีเพียงประเทศจีน (60%) และยุโรป (41%) เท่านั้นที่มีสัดส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบสแกนดิเนเวียมีสัดส่วนมากถึง 90% ในขณะที่ญี่ปุ่นมีการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ช้ากว่าประเทศในกลุ่มที่พัฒนาแล้ว

 

ในปี 2570 คาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า EV สะสมเท่ากับ 132 ล้านคัน เทียบกับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสะสม 41 ล้านคัน ณ สิ้นปี 2566 นำโดยประเทศจีน และสหภาพยุโรป

 

ภาพรวมยานยนต์ไฟฟ้าในระยะสั้น

 

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 3.1 ล้านคันในปี 2563 ไปสู่ 14 ล้านคัน ซึ่งคิดเป็น 16% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2568 ขณะที่เยอรมันจะกินส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นราว 40% ของยอดขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขณะที่ประเทศจีนจะอยู่ที่ 25% แสดงให้เห็นว่าจีนและยุโรปจะครอบครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของโลกในปี 2568 

 

โดยปัจจัยผลักดันของยุโรป คือ Europe’s Vehicle CO2 Regulations หรือมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของยานยนต์ที่ใช้ในยุโรป ด้านจีนก็จะมีกฎเกณฑ์ด้านเชื้อเพลิงของจีน และระบบเครดิตยานยนต์พลังงานรูปแบบใหม่เป็นตัวขับดัน

 

จากมุมมองของทาง BloombergNEF เผยว่า รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-In Hybrid (PHEV) จะมียอดขายที่เติบโตรวดเร็วในระยะสั้นสำหรับประเทศยุโรป โดยมีสาเหตุมาจากเป้าหมายด้าน CO2 ที่เข้มงวด แต่จากนั้นจะค่อยๆ ปรับลดลง พร้อมกับราคาแบตเตอรี่ที่ถูกลงอย่างต่อเนื่อง 

 

นโยบายที่หนุนยานยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-In Hybrid (PHEV) จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากยุโรปและญี่ปุ่นแล้ว PHEV จะไม่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดใดๆ ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยยอดขายเกือบ 80% ทั่วโลกในปี 2568 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

 

ถึงแม้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังบูม โดยเฉพาะในจีน ยุโรป และอเมริกาเหนือ ที่มีการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน การลดภาษี หรือแม้แต่การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเรื่องมลพิษ ทำให้ค่ายรถยักษ์ใหญ่ต่างทุ่มงบกันสุดตัวเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกมาแข่งขันกัน

 

แต่ก็ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังมีความท้าทายรออยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาขาดแคลนชิป การพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และการสร้างสถานีชาร์จให้ครอบคลุมทั่วถึง พูดง่าย หากต้องการลงทุนหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

 

โอกาสและความท้าทายในยุคเปลี่ยนผ่าน

 

1. แนวโน้มการเติบโตที่น่าตื่นเต้น

 

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะมีสัดส่วนมากกว่า 30% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด จึงเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล แต่ก็ต้องระวังความผันผวนในระยะสั้นด้วย

 

2. การแข่งขันที่ดุเดือด

 

ไม่ใช่แค่ Tesla ที่ครองตลาดอีกต่อไป ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง Volkswagen, GM, Ford กำลังทุ่มงบหนักเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ในขณะที่แบรนด์จากจีนอย่าง BYD, NIO ก็กำลังรุกตลาดโลกอย่างหนัก การแข่งขันที่เข้มข้นนี้อาจกดดันอัตรากำไร แต่ก็จะช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าเร็วขึ้น

 

3. นโยบายภาครัฐ ตัวเร่งปฏิกิริยา

 

รัฐบาลทั่วโลกกำลังผลักดันนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน การลดภาษี หรือการกำหนดเป้าหมายยกเลิกการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป นโยบายเหล่านี้จะเป็นแรงหนุนสำคัญ แต่ก็ต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

4. ความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทาน

 

การขาดแคลนชิป ปัญหาการจัดหาวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ และความผันผวนของราคาโลหะ เช่น ลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง บริษัทที่สามารถจัดการห่วงโซ่อุปทานได้ดีจะได้เปรียบในการแข่งขัน

 

5. เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

 

การพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ระบบขับขี่อัตโนมัติ และซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดผู้ชนะในตลาดนี้ บริษัทที่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว

 

6. โอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

 

นอกจากผู้ผลิตรถยนต์แล้ว ยังมีโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่และวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ ผู้ให้บริการสถานีชาร์จ หรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และระบบอัตโนมัติ ซึ่งการลงทุนในบริษัทเหล่านี้อาจช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

 

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง

 

  • การแข่งขันที่รุนแรงอาจนำไปสู่สงครามราคา
  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐอย่างฉับพลัน
  • ความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐาน
  • ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
  • ความเสี่ยงจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะในบริษัท startup

 

การลงทุนในหุ้นรถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งโอกาสและความท้าทาย ผู้ที่มองการณ์ไกลและเข้าใจพลวัตของอุตสาหกรรมนี้จะมีโอกาสทำกำไรได้ดี แต่ก็ต้องระมัดระวังและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats