×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

“อินเดีย” มหาอำนาจใหม่เศรษฐกิจโลก เรื่องจริง หรือแค่ฝัน?

163

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

…อินเดียจะเป็น Economic Superpower แห่งศตวรรษที่ 21 ได้จริงมั้ย? 

 

…เศรษฐกิจอินเดียจะใหญ่เป็นเบอร์ 3 ของโลกในปี 2030 และเบอร์ 2 ของโลกในปี 2075 ได้หรือเปล่า? 

 

…อะไรจะผลักดัน vs ดับฝัน ‘อินเดีย’?

 

โอกาส “อินเดีย” ผงาด หลังนักลงทุนหาแหล่งลงทุนใหม่นอก “จีน”

 

ปัจจัยแรกที่ต่างไปอย่างเห็นได้ชัดคือ การเปลี่ยนแปลงของ “จีน” จากเดิมที่เคยเนื้อหอม เป็นเป้าหมายการลงทุนที่ไม่มีใครอยากพลาด เพราะไม่อยากตกขบวนความรวย 

 

แต่ตอนนี้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยต่างมองหา “ตัวเลือก” การลงทุนอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดจีน หลังเจอพิษสงของการ Lockdown ประเทศช่วง Covid-19 ที่ทำเอาห่วงโซ่การผลิตชะงักงัน ไหนยังต้องเจอกับการปรับเปลี่ยนนโยบายในภาคอุตสาหกรรมที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักธุรกิจอีกต่างหาก และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่คุกรุ่นและแรงขึ้นเป็นระยะๆ

 

สวนทางกับ “อินเดีย” ที่ดูเหมือนว่าจะมีเสน่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ ในสายตานักลงทุน โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่ต้องการหาแหล่งลงทุนใหม่เพิ่มเติม เราลองมาดูปัจจัยที่จะส่งผลต่อเส้นทางสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของอินเดียมีอะไรบ้าง?

 

เส้นทางสู่มหาอำนาจเศรษฐกิจโลกของอินเดีย

 

ในแง่ของแรงงาน Harvard Business Review ประเมินว่า ภายในปี 2030 อินเดียจะมีประชากรวัยทำงานประมาณ 1,040 ล้านคน และคาดว่าจะอยู่ในระดับนั้นไปจนถึงปี 2055 ที่สำคัญ ยังเป็นประเทศที่มีแรงงานเรียนจบด้าน STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) และใช้ภาษาอังกฤษได้มากที่สุดในโลก เรียกได้ว่าจะสามารถตอบโจทย์ของธุรกิจข้ามชาติได้เป็นอย่างดี

 

ขณะเดียวกัน อินเดียก็เป็นตลาดที่มีผู้บริโภคจำนวนมหาศาล ด้วยประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนต่างก็ต้องกินต้องใช้ทั้งนั้น และที่ผ่านมา การบริโภคภายในประเทศก็ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

 

 

ในแง่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อปี 2023 เศรษฐกิจอินเดียมีมูลค่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของโลก เติบโตแบบก้าวกระโดดจากอันดับ 9 ของโลกในปี 2014 ซึ่งเป็นปีแรกที่นายกรัฐมนตรี Narendra Modi เข้าบริหารประเทศ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบกับเศรษฐกิจสำคัญๆ ของโลก ถือว่า มูลค่า GDP อินเดียมีอัตราการเติบโตสูงสุดในช่วงปี 2014-2023

 

 

ขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า GDP อินเดียจะเติบโตอย่างน้อยปีละ 6% ในช่วง 2-3 ปีนี้ แต่นักวิเคราะห์บางส่วนก็มองว่า จะต้องขยายตัว 8% หรือมากกว่านั้น หากต้องการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ซึ่งช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของดีมานด์ภายในประเทศหนุนให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโต 7% กว่ามาตลอด

 

สิ่งที่อินเดียควรทำพร้อมไปกับการผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคือ GDP Per Capita ที่สะท้อนถึงมาตรฐานการใช้ชีวิตของคน ซึ่งล่าสุดเมื่อปี 2022 ธนาคารโลกระบุว่า อินเดียติดอันดับ 147 ของโลก 

 

ยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่

 

ตอนนี้ “อินเดีย” กำลังทำเหมือนที่ “จีน” เคยทำเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน คือ การยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ด้วยการทุ่มงบลงทุนมหาศาลก่อสร้างและปรับปรุงถนนหนทาง, ท่าเรือ, สนามบิน และทางรถไฟ 

 

ช่วงปี 2014-2023 อินเดียขยายเครือข่ายถนนเกือบ 55,000 กิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 60% ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่นี้นอกจากจะสร้างงานให้กับคนอินเดียแล้ว ก็ยังเอื้อต่อการทำธุรกิจในอินเดียให้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย

 

ขณะเดียวกัน มีการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสาธารณะที่ช่วยเปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจและใช้ชีวิตของผู้คนด้วย เช่น แพลตฟอร์ม Unified Payments Interface (UPI) ระบบจ่ายเงินด้วยการสแกน QR Code ที่คนอินเดียทุกกลุ่มต่างใช้งานกันแบบคล่องปรื๊ดตั้งแต่เจ้าของคาเฟ่ไปจนถึงขอทาน และทำให้เม็ดเงินมหาศาลไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจบนดิน

 

“อินเดีย” เนื้อหอมสำหรับทุนต่างชาติ

 

ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ตอนนี้เรียกได้ว่า อินเดียมีเสน่ห์เกินห้ามใจ ต้องการปักหมุดลงทุนอย่างจริงจัง นอกจากเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเศรษฐกิจสำคัญๆ ของโลกแล้ว รัฐบาลอินเดียก็เดินเกมรุก ออกมาตรการจูงใจดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติอย่างเต็มที่ ฉวยจังหวะที่บริษัทข้ามชาติจำนวนมากกำลังหาแหล่งลงทุนใหม่ เพื่อทดแทน หรือเสริมตลาด “จีน” ที่กำลังมีสารพัดปัญหารุมเร้า 

 

อินเดียได้ออกมาตรการจูงใจภาคการผลิตวงเงิน 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดึงบริษัทต่างๆ ให้มาตั้งฐานการผลิตใน 14 อุตสาหกรรมในอินเดีย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขณะที่ยักษ์ใหญ่ของวงการไอทีโลก อย่าง Foxconn ซัพพลายเออร์ของ Apple ก็กำลังขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในอินเดียเช่นกัน และเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีธุรกิจข้ามชาติรายใหญ่อีกหลายเจ้าเดินหน้าขยายการลงทุนในตลาดแห่งนี้ เพราะนอกจากเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกแล้ว ก็ยังมีผู้บริโภคภายในประเทศอีกมหาศาล

 

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ คนจำนวนมากต่างเห็นศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย และความตื่นเต้นดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นในตลาดหุ้นอินเดีย ที่พุ่งทำสถิติสูงหลายต่อหลายครั้ง โดยเมื่อปีที่แล้ว มูลค่ารวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว 

 

อินเดียมีตลาดหุ้นหลัก 2 แห่งคือ The National Stock Exchange of India (NSE) และ BSE หรือก่อนหน้านี้รู้จักในชื่อ Bombay Stock Exchange 

 

ปีนี้ NSE ผงาดขึ้นเป็นตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก โดยมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 50% ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ถึงกุมภาพันธ์ 2024

 

“ความท้าทาย” ต่อเส้นทางสู่มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก

 

นอกจากปัจจัยหนุนที่เล่ามาข้างต้นแล้ว “อินเดีย” ก็เผชิญกับปัจจัยท้าทายอีกหลายอย่าง ที่กระทบต่อเส้นทางสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

 

การเติบโตแบบไร้สมดุล

 

อย่างแรกคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล คนรวยและคนจนได้รับประโยชน์จากการเติบโตเศรษฐกิจแบบเหลื่อมล้ำกันสูง Harvard Business Review ระบุว่า คนรวย Top 10% มีความมั่งคั่งรวมกัน 77% ของความมั่งคั่งประเทศ และทุกๆ วินาที มีคนอินเดียเกือบ 2 คนถูกผลักให้กลายเป็นคนจนเพราะค่ารักษาพยาบาล 

 

ดังนั้นโจทย์สำคัญของรัฐบาลอินเดียก็คือ ทำอย่างไร จะลดความเหลื่อมล้ำดังกล่าว ทำอย่างไร รายได้ต่อหัวของคนอินเดียจะเพิ่มขึ้น คนส่วนใหญ่ได้ลืมตาอ้าปาก มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการเติบโตของเศรษฐกิจครั้งนี้  

 

การสร้างงานที่เหมาะสมให้คนรุ่นใหม่

 

แม้ว่าอินเดียจะมีจำนวนแรงงานจำนวนมาก แต่กลับพบว่า มีแรงงานในเมืองไม่ถึงครึ่งที่มีงานประจำ India Skills Report 2023 ระบุว่า คนรุ่นใหม่อินเดียเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่มีงานทำ นอกจากนี้ มีข้อมูลว่า ความต้องการงานในอุตสาหกรรม Outsourcing ก็กำลังลดลง เพราะมีการหันไปใช้เทคโนโลยี AI หรืออื่นๆ ทำงานรูทีนและงาน Coding แทน แต่ก็ยังมีธุรกิจดาวรุ่ง เช่น AI ที่อาจเป็นโอกาสใหม่สำหรับชาวอินเดียรุ่นใหม่ก็ได้

 

การปรับนโยบาย เพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจ

 

แม้ว่าการทำธุรกิจในอินเดียยุคนี้จะสะดวกและง่ายกว่าหลาย 10 ปีก่อนมาก เพราะมีการผ่อนปรนกฏระเบียบด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีหลายประเด็นต้องเร่งจัดการ เช่น การจัดหาและถือครองที่ดิน โดยบริษัทเอกชนต้องต่อรองราคากับเจ้าของหลายเจ้า ทำให้เสี่ยงที่จะถูกโก่งราคา

 

รัฐมีอำนาจยึดที่ดินเอกชนได้เพื่อนำมาใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ แม้ว่าเจ้าของไม่ยินยอม ซึ่งตามกฎหมาย เจ้าของที่ดินจะได้รับแค่เงินชดเชยเท่านั้น

 

การถือครองที่ดินบางครั้งต้องเจอกับการประท้วง โดยอ้างหลายเหตุผล เช่น ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมหรือทางการเมือง และมักจะขยายวงสู่ความรุนแรงได้ และปัญหาใหญ่ที่ยังคงสร้างความยุ่งยากให้กับนักลงทุนอยู่ นั่นก็คือ พวกเค้ายังต้องเผชิญกับระบบราชการที่แสนวุ่นวายและซับซ้อนในการเดินเอกสาร

 

เส้นทางสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของ “อินเดีย” รอบนี้ดูสดใสและเป็นไปได้สูงกว่าเมื่อเกือบ 2 ทศวรรษที่แล้ว ด้วยแรงหนุนสำคัญคือ ปัจจัยความพร้อมภายในประเทศ และปัจจัยภายนอก คือ นักลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยงจากประเทศจีน

 

แต่จะไปถึงเป้าหมายหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า อินเดียจะสามารถจัดการกับความท้าทายต่างๆ ได้อยู่หมัดแค่ไหน ทั้งลดความเหลื่อมล้ำ ตลาดแรงงานคนรุ่นใหม่ และนโยบายที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ

 

ที่มา:

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats