ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ 4 เม.ย. 2561
ครึ่งทาง มอเตอร์โชว์ฯ ยอดทะลุ 10,940 คัน
นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยอดจองรถยนต์ครึ่งทางการจัดงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” (28 มี.ค. – 1 เม.ย.) พบว่า มียอดจองรวม 10,940 คัน โตเพิ่มขึ้น 18.3% เทียบกับปีก่อน โดย 5 อันดับค่ายรถที่มียอดจอง สูง สุด ได้แก่ โตโยต้า 1,911 คัน ฮอนด้า 1,702 คัน อีซูซุ 1,572 คัน มาสด้า 1,531 คัน และฟอร์ด 751 คัน
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ภายในงาน ผู้บริโภคเลือกตัดสินใจซื้อรถใหม่ในช่วงงานมอเตอร์โชว์ฯ โดยเฉพาะกับตลาดรถหรูที่ส่อแววสดใส ที่สำคัญในกลุ่มของรถยนต์ลักชัวรี่ และรถสปอร์ต ที่เพิ่มทางเลือกในด้านเทคโนโลยีรุ่นใหม่เข้ามาได้กระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่สนใจเพิ่มมากขึ้น
บจ.ปันผลปี 60กว่า 4.78 แสนล้าน
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2560 มี บริษัทจดทะเบียน(บจ.) ประกาศจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 487 บริษัท มูลค่ารวม 478,092 ล้านบาท แบ่งเป็น บจ. ใน SET 400 บริษัท มูลค่าเงินปันผล 473,270 ล้านบาท และ บจ. ใน mai 87 บริษัท มูลค่าเงินปันผล 4,822 ล้านบาท โดยมูลค่าเงินปันผลส่วนใหญ่หรือ 52% ของทั้งหมด เกิดจาก บจ. หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ธนาคาร และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
โดย บจ. ที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. แปซิฟิกไพพ์ (PAP) ,บมจ. พรีเมียร์ เทคโนโลยี (PT) ,บมจ. บางสะพานบาร์มิล (BSBM) ,บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) และ บมจ. ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) โดยมีอัตราเงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ 9.42% ถึง 15.23%
ส่งออกปีนี้มีลุ้นโต 8 %
นายเจน นำชัยศิริ ประธานคณะกรรมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร. ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2561 ใหม่อยู่ที่ 4-4.5% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.8-4.5% การส่งออกคาดอยู่ที่ 5-8% จาก 3.5-6% และถ้าการส่งออกปีนี้ออกมาดีต่อเนื่อง ทั้งปีก็น่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงระดับ 8% แต่คงต้องติดตาม ปัจจัยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่น่าจะสูงขึ้นหลังต้นปีที่ผ่านมาสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 1 ครั้ง และมีแผนจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งภายในปีนี้
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีน การปรับตัวของราคาสินค้าเกษตรบางรายการ และความคืบหน้าของการลงทุนภาครัฐที่ส่งผลต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป
สหรัฐฯ โวยจีนขึ้นภาษีสินค้า 128 รายการไม่เป็นธรรม
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า น.ส.ลินด์เซย์ วอลเทอร์ส รองโฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า จีนจำเป็นต้องยุติการใช้วิธีปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการทำลายเสถียรภาพด้านนโยบายของรัฐบาลวอชิงตัน แต่ยังส่งผลกระทบต่อกลไกตลาดโลกด้วย โดยเฉพาะการใช้มาตรการอุดหนุนและทุ่มตลาดสินค้าหลายรายการ พร้อมระบุด้วยว่า สหรัฐฯจะตอบโต้
ทั้งนี้ จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐฯ 128 รายการ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 93,400 ล้านบาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน เป็นต้นไป เพื่อเป็นการตอบโต้การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ
สกุลเงินดิจิทัลทรุดตัวถ้วนหน้าใน Q1
สกุลเงินดิจิทัลต่างทรุดตัวลงในไตรมาสแรก โดยได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าหน้าที่ในประเทศต่างๆพากันคุมเข้มการซื้อขาย ขณะที่บริษัทสื่อออนไลน์หลายแห่ง เช่น เฟซบุ๊ก, กูเกิล และทวิตเตอร์ ต่างประกาศระงับการโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล
บิตคอยน์ร่วงลงมากกว่า 48% ในไตรมาส 1 โดยดิ่งลงจากระดับ 13,412.44 ดอลลาร์ สู่ระดับ 6,928.85 ดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดวูบหายไปถึง 1.199 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนอีเธอเรียมร่วงลง 47.7% ในไตรมาส 1 โดยดิ่งลงจากระดับ 755.76 ดอลลาร์ สู่ระดับ 394.65 ดอลลาร์ทางด้านริพเพิลเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในไตรมาส 1 โดยทรุดตัวลงถึง 77% จากระดับ 2.30 ดอลลาร์ เหลือเพียง 0.509565 ดอลลาร์
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ,กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด , ASTVผู้จัดการออนไลน์, อินโฟเควสท์
ภาพ: ประชาชาติธุรกิจ