องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกเหลือ 3% (ลดลง 1.5% จากเดือนธ.ค. 2021) โดยปัจจัยหลักมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจทั้งในรัสเซียและยูเครนย่ำแย่ เศรษฐกิจของยุโรปก็ได้รับผลกระทบจากการที่สหภาพยุโรปสั่งระงับการนำเข้าน้ำมันและถ่านหินจากรัสเซียอีกด้วย ส่วนอีกปัจจัยสำคัญ คือ การปิดเมืองและท่าเรือหลายแห่งในจีนตามนโยบาย Zero-COVID ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบซัพพลายและการบริโภคในระดับโลก
David Malpass ประธาน World Bank หรือธนาคารโลก ออกโรงเตือนว่าตอนนี้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงอันตรายอีกครั้ง เพราะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อสูง และการเติบโตต่ำพร้อมๆ กัน และถึงแม้การถดถอยทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่พวกเราก็ต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation ไปต่ออีกหลายปี (ต่างกันยังไง? เศรษฐกิจชะลอ – Stagflation – ถดถอย – วิกฤต) หากปัญหาการขาดแคลนซัพพลายยังไม่ได้รับการแก้ไข
Bloomberg Commodity Spot Index ดัชนีอ้างอิงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 23 ชนิด (รวมถึงพลังงาน และอาหาร) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ (6 มิ.ย. 65) และหากนับตั้งแต่ต้นปีดัชนีดังกล่าวพุ่งขึ้นมาแล้วถึง 36% ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นในรอบปีมากที่สุดในรอบกว่า 1 ทศวรรษ
Straits Times ระบุว่าเงินเดือนของคนทำงานสายเทคโนโลยีในสิงคโปร์จะพุ่งสูงขึ้นจาก 15% เป็น 30% ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จากเดิมที่น่าจะเพิ่มแค่ 10%-15% สาเหตุหลักมาจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเปลี่ยนกระบวนการและบริการทางธุรกิจ (Digital Transformation) ในหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจสายการเงิน ที่ต่างพากันแย่งตัวคนเก่งสายเทคฯกัน โดย 1 ใน 3 หรือกว่า 3,000 ตำแหน่ง จาก 9,400 ตำแหน่งของงานใหม่ที่เปิดรับในปีนี้ เป็นงานในสายเทคโนโลยี
Simon Baptist หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จาก Economist Intelligence Unit มองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จะยังไม่เกิดขึ้นทันทีหลังจากภาวะ Stagflation (ภาวะเงินเฟ้อสูง อัตราการว่างงานสูง และเศรษฐกิจชะลอ) สิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนและการระบาดโควิด-19 ยังส่งผลให้ภาวะ Stagflation ยังอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อย 12 เดือน
กว่า 2 ปีแล้วที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง บั่นทอนคุณภาพชีวิตผู้คนจนทำให้เกิดการย้ายประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งจะนำสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่าในอนาคต นั่นคือปัญหาสมองไหลของระดับหัวกระทิ