3 สูตรเร่งรัด เอาตัวรอดยามหุ้นผันผวน
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
หลังจากดัชนีหุ้นไทยขยับจาก 1,500 จุด พุ่งทะยานทะลุ 1,800 จุด นักลงทุนส่วนใหญ่ฝันว่าจะเห็นดัชนี 2,000 จุดในไม่ช้า แต่แล้วความฝันพังทะลายเมื่อตลาดหุ้นผันผวนและดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง จนหวั่นว่าจะเห็น 1,700 จุด
คำถามตามมา ก็คือ จะลงทุนอย่างไรในช่วงตลาดหุ้นผันผวน เพราะส่วนใหญ่นั้นกำลังอยู่บนดอย และไม่กล้าลงจากดอย เพราะลงเมื่อไหร่พอร์ตลงทุนจะเสียหายหลายแสน ถ้าซื้อเฉลี่ยก็คงต้องใช้เงินลงทุนจำนวนไม่น้อย
นี่เป็นบทเรียนอีกครั้งสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีการวางกลยุทธ์ Cut Loss ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ได้ดีกรณีตลาดหุ้นผันผวนหรือปรับลดลงเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน จึงมีคำพูดติดตลกในสนามรบว่า “อย่าเก่งแค่ตลาดขาขึ้นเท่านั้น”
สำหรับนักลงทุนที่กำลังตัดสินใจและมองว่าช่วงตลาดหุ้นผันผวนหรือเป็นขาลง คือ จังหวะที่ดีในการเลือกซื้อหุ้นที่ดีแต่ได้ราคาถูก แต่คำถามที่ตามมา ก็คือ ท่ามพายุที่กำลังพัดกระหน่ำจะมองหาหุ้นเป้าหมายได้อย่างไร และมั่นใจแค่ไหนว่าหุ้นตัวนั้นจะไม่ทำให้ขาดทุน
นี่คือ 3 สูตรเร่งรัด คัดกรองหุ้นเพื่อลดความเสียหายช่วงตลาดผันผวน
1.Safe | เลือกหุ้น Low Beta
การคัดเลือกหุ้นที่มีความปลอดภัยหรือความผันผวนของหุ้นที่ต่ำกว่าตลาดจะทำให้ลดความเสี่ยงลงได้ และวิธีที่นิยมใช้เพื่อความเสี่ยง คือ ค่าเบต้า (Beta) เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเทียบกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้น หรือเรียกในเชิงสถิติ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นกับดัชนีหุ้น
ถ้าตลาดหุ้นอยู่ในช่วงผันผวน ไร้ทิศทางชัดเจน ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำกว่า 1 หรือ Low Beta เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน และหุ้นที่ Low Beta มักจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เพราะผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสามารถเป็นกันชนที่จะช่วยลดการผันผวนของราคาได้ เนื่องจากลักษณะของหุ้นปันผลจะเป็น Low Beta มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ มีฐานะการเงินที่ดี ปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง
ค่าเบต้าน้อยกว่า 1 หมายถึง ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงหรือผันผวนน้อยกว่าตลาด มักเป็นหุ้นปลอดภัยหรือหุ้นตั้งรับ (Defensive Stock) เช่น หุ้น XYZ มีค่าเบต้าที่ 0.5 เท่า หากดัชนีหุ้นขึ้น 10% ราคาหุ้นตัวนี้ขึ้น 5% ในทางกลับกันดัชนีหุ้นลดลง 10% ราคาหุ้นลดลง 5%
2.Cheap | เลือกหุ้น P/BV ต่ำ
ใครๆ ก็อยากได้ของดีราคาถูก และวิธีที่นิยมใช้ก็คือ อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV Ratio) เป็นอัตราส่วนที่นิยมใช้การประเมินมูลค่าหุ้น จะบอกให้รู้ว่าราคาหุ้น ณ ขณะนั้น สูงเป็นกี่เท่าของมูลค่าทางบัญชีของหุ้นดังกล่าว โดยค่านี้ไม่ควรเกิน 1 เท่า ดังนั้น ยิ่งซื้อหุ้นได้ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากเท่าไหร่ หมายความว่ายิ่งได้หุ้นถูก แปลว่า P/BV Ratio ยิ่งต่ำยิ่งดี
3.Quality | เลือกหุ้นปันผลสูง
เทคนิคการดูว่ากิจการที่ดีหรือความสม่ำเสมอของผลกำไร ให้ดูอัตราการเติบโตและอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง (Dividend Payout Ratio) จะวัดได้ว่าบริษัทดังกล่าวเป็นหุ้นปันผลหรือไม่ โดยปกติ อัตราส่วนนี้จะคำนวณจากเงินปันผลเปรียบเทียบกับอัตรากำไรต่อหุ้น หลายบริษัทที่เป็นหุ้นปันผลจะมีอัตราส่วนนี้สูงถึง 70 – 80 % และบางบริษัทสูงถึง 90% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากรูปแบบธุรกิจที่มักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตช้าหรือใกล้อิ่มตัวจึงไม่ต้องการใช้เงินลงทุนมากนัก เมื่อทำธุรกิจได้กำไรจึงมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูง แต่หากเป็นหุ้นที่มีอัตราปันผลสูงด้วยและแนวโน้มอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ดีด้วยก็ถือว่าเป็นหุ้นคุณภาพที่น่าลงทุน