×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

นักลงทุนหุ้น VS นักเล่นหุ้น

8,457

 

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

หุ้น คือตราสารที่ออกโดยบริษัทเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ การลงทุน หมายถึงการใช้เงินซื้อทรัพย์สินในวันนี้ และหวังว่าทรัพย์สินที่ซื้อจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต คำว่าทรัพย์สินจะครอบคลุมทั้งทรัพย์สินที่จับต้องได้ เช่น ที่ดิน ทองคำ และทรัพย์สินที่เป็นเอกสารแสดงสิทธิ์ เช่น พันธบัตร สลากออมสิน ตราสารทางการเงิน หุ้น

 

การซื้อขายทรัพย์สินสามารถทำได้หลายวิธี การซื้อ-ขายที่ดิน ไม่มีสถานที่ซื้อขายแน่นอน ผู้ซื้อ-ผู้ขายนัดทำการซื้อขาย แล้วไปจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน การซื้อ-ขายทองคำ ทำได้ที่ร้านทอง ในทำนองเดียวกัน การซื้อขายหุ้นทำได้ผ่านกลไกของตลาดหลักทรัพย์ โดยทั่วไปเราเรียกการซื้อขายหุ้นผ่านกลไกตลาดหลักทรัพย์ว่า การลงทุน และมีไม่น้อยที่จะถูกเรียกว่า การเล่นหุ้น

 

ถ้าจะแบ่งการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ตามระยะเวลาในการถือครอง เราอาจแบ่งเป็น 2 แบบ คือ การลงทุนระยะยาวและการลงทุนระยะสั้น

 

ผู้ที่ถือครองหุ้นระยะยาว หวังผลตอบแทนสม่ำเสมอ คาดหวังว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้นตามอัตราการเจริญเติบโตของบริษัท (มองราคาหุ้นเป็นเส้นสีแดง) มีการถือครองหุ้นนานเป็นเดือน ปี หรือหลายปี ส่วนใหญ่นักลงทุนประเภทนี้จะถูกเรียกว่า นักลงทุน

 

ในตลาดหุ้น มีปัจจัยมากมายที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้น ราคาหุ้นมีการขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าแนวโน้มระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นเช่นไร ในช่วงสั้นๆ ราคาหุ้นจะมีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวขึ้นลงไปตาม เหตุการณ์ ข่าวสาร ข้อมูล และความต้องการซื้อ-ขายในเวลานั้นๆ การที่ราคาหุ้นขึ้นหรือลงตลอดเวลานี่เอง มีนักลงทุนบางส่วนเห็นโอกาสในการทำกำไรจากการขึ้น-ลงนี้ โดยหวังผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่ขึ้นลงในระยะสั้นๆ อาศัยผลกระทบของเหตุการณ์ ข่าวสาร ที่เวลาปัจจุบัน มากกว่าการอ้างอิงกับแนวโน้มการเจริญเติบโตของบริษัทในระยะยาว เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึงระดับที่พอใจ หรือเมื่อหมดผลกระทบ จะขายหุ้นเพื่อทำกำไร และเปลี่ยนไปซื้อหุ้นตัวใหม่ นักลงทุนประเภทนี้จะซื้อขายบ่อยครั้ง ถือหุ้นเพียงไม่กี่วัน หรือในบางครั้งอาจจะซื้อเช้าขายเย็น ถือหุ้นไม่ทันข้ามวัน นักลงทุนประเภทนี้ซื้อมาขายไป เหมือนเล่นขายของ บางวันอาจจะมีการซื้อขายหุ้นตัวเดียวกันหลายครั้ง จึงเป็นที่มาของคำว่า เล่นหุ้น บางครั้งนักลงทุนจะถูกเรียกว่า นักเล่นหุ้น หรือ นักเก็งกำไร (ถ้าเก็งถูก)

 

ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน คือ ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย นอกเหนือจากค่าหุ้นที่จะต้องจ่ายหรือได้รับแล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมที่นักลงทุนทุกท่านจะต้องเสียเพิ่ม ไม่ว่าจะซื้อหรือจะขาย เช่นในการซื้อ ต้องจ่ายเงินเท่ากับค่าซื้อ + ค่าธรรมเนียม เมื่อขายหุ้นจะได้รับเงินเท่ากับค่าหุ้น- ค่าธรรมเนียม ถ้ามีการซื้อขายหลายครั้ง ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลายรอบ กำไรที่ได้อาจจะน้อยลง ในบางครั้งกำไรที่ได้อาจจะไม่คุ้มกับค่าธรรมเนียมที่ต้องเสีย

 

ในมุมมองของนักเล่นหุ้น (หรือนักลงทุนระยะสั้น) มักคิดว่าในจำนวนเงินเท่าๆ กัน จะมีโอกาสที่จะทำกำไรได้หลายรอบ แต่ละรอบการซื้อขายอาจได้ กำไรไม่มาก แต่ถ้านำผลหลายรอบมารวมกัน ผลตอบแทนที่ได้น่าจะเป็นที่พอใจ แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า อาจประสบกับการขาดทุนได้ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในระยะยาวแล้วโอกาสการขาดทุนจะน้อยกว่า เพราะความผันผวนจะลดลงตามระยะเวลาของการลงทุน

 

ในมุมมองของนักลงทุน การถือครองหุ้นระยะยาว นอกเหนือจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่น้อยกว่าแล้ว ยังมีโอกาสที่จะได้รับสิทธิอื่นๆ อย่างเช่นเงินปันผล และผลตอบแทนโดยรวมที่ได้ก็น่าพอใจเช่นกันด้วย

 

ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทไหน สิ่งที่ทุกคนจะต้องทำคือ ศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างดีที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ ผลตอบแทนนั่นเอง

 

 

#WealthMeUp

 

ที่มาข้อมูล : http://www.tfpa.or.th/datasource.php?topic=document&sub=article&tab=personal&pageNumber=2&id=623

Related Stories

amazon anti fatigue mats