×

Wealth Me Up ให้เงินทำงาน

1O หุ้นไทย ปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ต่างชาติแนะนำซื้อ

1,852

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา พบว่าเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 7 เดือน ใน 9 เดือน (ข้อมูลกันยายน 2565) ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาถูกต่างชาติขายสุทธิทุกเดือน ซึ่งปัจจัยที่ตลาดหุ้นไทยกลับมาเนื้อหอม มาจากปัจจัยการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่มีความชัดเจน กำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวต่อเนื่อง

 

ถ้าถามว่าทำไมนักลงทุนต่างชาติถึงกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ปัจจัยหลัก ๆ คือ ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เพราะหากดูรวม ๆ ทั้งตัวเลขทางเศรษฐกิจ ภาวะอุตสาหกรรม ผลการดำเนินงาน แนวโน้มบริษัทจดทะเบียนมีความโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น

 

โดยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ปี 2565 ทำกำไรสุทธิทั้งสิ้น 3.50 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 2.8% และปีหน้าจะขยายได้ประมาณ 4%

 

สำหรับปัจจัยสำคัญเบื้องต้นที่นักลงทุนต่างชาติแนะนำซื้อนอกจากมาร์เก็ตแคปที่ต้องอยู่ระดับสูงแล้ว ยังมีอัตราส่วนทางเงินต่าง ๆ ที่ต้องประเมิน เริ่มกันที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ต้องอยู่ในระดับสูง เพราะในช่วงนี้ราคาหุ้นอาจจะมีความผันผวน แต่หุ้นที่จ่ายปันผลสูงจะยังคงช่วยสร้างกระแสเงินสดให้ในระหว่างที่ลงทุน

 

ถัดมา ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น นักลงทุนต้องดูว่าบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนให้ต่ำ และสร้างกำไรเติบโตต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้บริษัทและเงินลงทุนของนักลงทุนมากแค่ไหน และนี่คืออัตราส่วนที่ใช้วิเคราะห์เพื่อดูศักยภาพในการเติบโตของบริษัท ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ก็สามารถใช้ประเมินประสิทธิภาพของธุรกิจ โดยดูว่ารายได้ที่ได้จากการขายเมื่อหักต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตออกแล้ว เหลือเป็นกำไรเท่าไหร่ ซึ่งอัตราส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรขั้นพื้นฐาน ไม่มีมาตรวัดที่แน่นอน แต่ใช้เปรียบเทียบกับหุ้นอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันว่าทำกำไรได้มากกว่าคู่แข่งหรือไม่

 

จากนั้นก็ดูอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) คือ อัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถทำกำไรของบริษัท โดยเทียบระหว่างกำไรสุทธิหลังหักภาษีกับยอดขายรวม โดยผลลัพธ์ควรเป็นบวกหรือมีค่ามาก แสดงว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้ดีเมื่อเทียบกับยอดขายที่ทำได้ เป็นการวัดถึงความสามารถในการบริหารการจัดการค่าใช้จ่ายอีกด้วย

 

อีกทั้ง ให้อัตราการเติบโตของรายได้รวม (Average Revenue Growth Rate) โดยรายได้รวม ซึ่งรวมยอดขายของบริษัท สามารถถูกใช้วัดฝีมือการดำเนินธุรกิจ ซึ่งนักลงทุนย่อมต้องการเห็นยอดรายได้เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แสดงถึงสินค้าและบริการของบริษัทเป็นที่ต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น 

 

เช่นเดียวกันควรดูอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Average Net Income Growth Rate) เพราะกำไรสุทธิยังคงเป็นข้อมูลปัจจัยพื้นฐานที่แสดงฝีมือทั้งจากการหารายได้และการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งกำไรสุทธิเหลือมากและเติบโตขึ้น จะทำให้นักลงทุนเกิดความคาดหวังในเชิงบวกต่อเงินปันผลและการขยายธุรกิจให้เติบโตในอนาคต ซึ่งส่งผลดีต่อราคาหุ้น

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats