3 เรื่องเงินต้องสอน ‘ลูก’ เพื่ออนาคตที่มั่นคง
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
ความรู้เรื่องเงิน เป็นเรื่องที่ควรปลูกฝังกันตั้งแต่ยังเด็ก
มาดู 3 เรื่องเงิน ที่ต้องสอนลูก…เพื่ออนาคตการเงินที่มั่นคง-มั่งคั่ง
สอนให้ ‘รู้คุณค่าเงิน’
การทำให้ลูกรู้คุณค่าของเงินเริ่มจากการชวนตั้งคำถาม และสังเกต เกี่ยวกับเงินในชีวิตประจำวัน เงินคืออะไร? สำคัญกับตัวเองและการใช้ชีวิตขนาดไหน? เพื่อให้เด็กๆ เห็นความเชื่อมโยงของเงินกับชีวิตประจำวัน
ซึ่งในส่วนของวิธีการทำให้ลูกรู้คุณค่าเงิน สามารถสร้างการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ เช่น
- พาลูกชอปปิง ให้ลูกมีโอกาสเลือกซื้อของ โดยมีการจำกัดงบประมาณ เป็นการฝึกให้ลูกได้วางแผนค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง ในช่วงแรกลูกอาจตัดสินใจซื้อของที่อยากได้ตั้งแต่ชิ้นแรกที่พบ หลังจากจ่ายเงินไปแล้วอาจพบกับของที่อยากได้เพิ่มเติม แต่เงินไม่พอ เด็กจะได้บทเรียนว่า เงินมีอยู่อย่างจำกัด หากใช้เงินโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า จะทำให้เสียโอกาสในการซื้อของที่จำเป็น หรืออยากได้มากกว่าในอนาคต
- มีส่วนร่วมจ่ายค่าของเล่น เมื่อลูกอยากได้ของเล่นชิ้นพิเศษ ลองให้ลูกมีส่วนร่วมในการจ่ายเงินบางส่วน จะทำให้ลูกเกิดความภูมิใจและเล่นอย่างระมัดระวังมากขึ้น
นอกจากนี้ พ่อกับแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกในเรื่องการรู้คุณค่าของเงิน คิดก่อนจ่ายว่าเป็นสิ่งจำเป็น หรือแค่อยากได้ เมื่อได้ของมาแล้วก็ควรใช้อย่างระมัดระวัง ดูแลซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่ดีเสมอ อย่าลืมว่า เด็กๆ มักเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อกับแม่โดยไม่รู้ตัว
สอนให้ ‘รู้จักออม’
ทุกคนเคยถูกสอนให้ออมเงินมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยพ่อแม่พาไปเปิดบัญชีเพื่อฝากเงินกับธนาคารแล้วจะได้กระปุกออมสินเพื่อนำเงินค่าขนมส่วนที่เหลือไปหยอดกระปุกทุกวัน เมื่อเงินเต็มกระปุกก็จะนำเงินที่เก็บได้ไปฝาก จะเห็นได้ว่าการออมในวัยเด็กที่ผ่านมา เป็นการออมโดยไม่มีเป้าหมายชัดเจน ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า บางครั้งในระหว่างการออมกลับรู้สึกไม่ดี เนื่องจากไม่ได้ใช้เงินอย่างที่ต้องการ ทั้งหมดนี้ทำให้ไม่สามารถสร้างนิสัยการออมขึ้นมาได้
กระบวนการสร้างวินัยการออมสำหรับเด็กเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากการสร้างนิสัยในการออมเป็นประจำ กระปุกออมสินสามารถยังใช้ได้อยู่ อย่าลืมสร้างความสนุกสานระหว่างการออมด้วย เช่น
- ตั้งเป้าหมายการออม เมื่อลูกอยากได้ของเล่นชิ้นพิเศษ แล้วต้องมีส่วนร่วมในการจ่ายเงินบางส่วน สามารถนำจำนวนเงินที่ลูกต้องจ่ายมาตั้งเป็นเป้าหมายได้ หรือเมื่อจะไปเที่ยวลองให้เด็กๆ เก็บเงินสำหรับไปใช้ซื้อของที่อยากได้ เมื่อมีการตั้งเป้าหมาย การออมเงินที่น่าเบื่อจะกลายเป็นภารกิจที่น่าสนุกแทน
- ฝึกทำบัญชีรายรับรายจ่าย สอนให้เด็กๆ จดบันทึกรายรับและค่าใช้จ่าย เพื่อให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่ายของตัวเอง นอกจากนี้ ยังนำไปประยุกต์ใช้กับการกำหนดค่าขนมที่เหมาะสมได้ด้วย พ่อแม่จะได้เห็นว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นของลูกเป็นอย่างไรบ้าง ค่าขนมในปัจจุบันเหมาะสมหรือไม่อาจต้องปรับเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ด้วยเช่นกัน
- แบ่งเงินเป็นส่วนๆ เด็กๆ บางคนอาจจะยังไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายของตัวเองได้ ลองชวนลูกแบ่งเงินเป็นส่วนๆ เพื่อให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น เงินสำหรับออม ค่าขนม ค่าเดินทาง เมื่อแบ่งเงินเรียบร้อยแล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ พยายามบริหารจัดค่าใช้จ่ายภายใต้งบประมาณนั้น เรื่องนี้ พ่อกับแม่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมาก
สอนให้ ‘รู้จักหาเงิน’
ปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้โอกาสในการหารายได้เปิดกว้างมากขึ้น เด็กๆ จึงมีโอกาสได้เรียนรู้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ รวมถึงมีช่องทางในการหารายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่จำเป็นต้องรอจนโต เรียนจบแล้วไปทำงานประจำอีกต่อไป สิ่งที่พ่อแม่ในยุคปัจจุบันต้องทำเพื่อจะแนะนำวิธีการหาเงิน คือ ต้องเปิดใจรับและศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ทัน สำหรับคนที่ไม่ถนัดเรื่องการใช้เทคโนโลยี ก็สามารถหาเงินได้จากกิจกรรมเหล่านี้
- ช่วยทำงานบ้านแลกเงิน ลองกำหนดค่าตอบแทนให้กับการช่วยงานบ้านที่เด็กๆ พอจะทำได้ นอกจากจะเป็นการหารายได้แล้ว ยังช่วยให้เด็กๆ รู้จักหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น
- ชวนลูกขายของ กิจกรรมตลาดนัดสำหรับเด็กเริ่มมีมากขึ้นในปัจจุบัน โดยสามารถนำของเล่นเก่าไปขายต่อ หรือถ้าสะดวกจะทำขนมกับลูก ก็สามารถทำขนมไปขายได้ เป็นกิจกรรมที่จะสอนทั้งเรื่องการหาเงิน ค้าขาย และการคำนวณต้นทุนไปในเวลาเดียวกัน
- ใช้ทักษะที่ถนัดเพื่อหาเงิน คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตว่าลูกชอบทำอะไร เช่น บางคนชอบวาดรูป อาจลองเข้าประกวดแข่งขันวาดรูป หรือจะแสดงผลงานทางอินเทอร์เน็ตก็อาจะเป็นช่องทางหาเงินได้ หรือ ถ้าลูกถนัดวิชาไหนเป็นพิเศษ ลองรับสอนพิเศษเพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้
สิ่งที่ควรสอนเพิ่มเติมในเรื่องการหาเงิน คือ ในระหว่างการสอนเรื่องหาเงิน ควรสอดแทรกเรื่องการแบ่งปัน และเสียสละด้วย เพื่อไม่ให้เด็กๆ มุ่งมั่นหาเงินจนไม่ยอมช่วยงานบ้าน หรือไม่ช่วยเหลือคนอื่น เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของการสอนให้รู้จักหาเงิน คือ ต้องการให้เด็กๆ รู้จักช่องทางการทำงานผ่านกิจกรรมที่ชอบในอนาคตได้เอง