×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

โลกสลับขั้ว เมื่อ G7 ถูกเขย่าบัลลังก์

141

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

…โลกกำลังเปลี่ยนไป! 

 

…มหาอำนาจเศรษฐกิจโลกกำลังจะพลิกโฉมจาก G7 ไปสู่ E7

 

…การเปลี่ยนแปลงนี้ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร? จะมีโอกาสอะไรซ่อนอยู่บ้าง?

 

‘G7 vs E7’ คือใคร ?

 

กลุ่ม G7 ที่หลายคนน่าจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง ได้แก่ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ ที่เป็นใหญ่ในเวทีเศรษฐกิจโลกมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น

 

ส่วนกลุ่ม E7 คือกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และตุรกี 

 

การกำเนิดขึ้นของกลุ่ม G7 ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1975 แต่ในเวลานั้นยังมีเพียง 6 ประเทศ ก่อนที่จะมีแคนาดาเข้ามาร่วมด้วย จนกลายเป็น G7 มาจนถึงปัจจุบัน

 

G7 ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีสำหรับประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำในการหารือและประสานนโยบายทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เช่น วิกฤตการณ์น้ำมันในระหว่างทศวรรษที่ 1970s และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

 

เมื่อโลกสลับขั้ว GDP กลุ่ม E7 พุ่งทาง G7 

 

ในอดีตขนาดเศรษฐกิจ หรือ GDP ของกลุ่ม G7 รวมกัน เคยมีสัดส่วนถึงกว่า 40% ของ GDP โลก แต่การเติบโตของกลุ่มประเทศเกิดใหม่หลายๆ ประเทศ ก็ทำให้สัดส่วน GDP ของ G7 ค่อยๆ ลดลงมาเหลือประมาณ 26% ในปี 2023

 

จากการศึกษาของ PwC คาดการณ์ว่า ในปี 2042 GDP โลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จากปี 2016 และระหว่างปี 2016 – 2050 GDP โลกจะเติบโตเฉลี่ย 2.6% ต่อปี ทำให้ประมาณปี 2042 GDP โลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จากปี 2016 

 

แต่การเติบโตของ GDP ในกลุ่ม G7 และ E7 จะแตกต่างกัน ซึ่ง PwC คาดว่า GDP กลุ่ม G7 จะเติบโตเฉลี่ย 1.6% ส่วนกลุ่ม E7 จะเติบโตเฉลี่ย 3.5% ในช่วง 34 ปีนี้ ส่งผลให้สัดส่วนของ GDP กลุ่ม E7 จะเพิ่มขึ้นจากราว 35% ไปเป็น 50% ของทั้งโลก สวนทางกับมหาอำนาจเดิมอย่างกลุ่ม G7 ที่สัดส่วนจะลดลงเหลือ 20%

 

อะไรทำให้ E7 เติบโตได้เร็วขนาดนี้?

 

แล้วอะไรที่ทำให้กลุ่ม E7 เติบโตได้เร็วขนาดนี้ 

 

คำตอบคือมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

 

1. จำนวนประชากร: E7 มีประชากรรวมกันมากกว่า G7 ถึง 3 เท่า! นี่หมายถึงกำลังซื้อมหาศาลและแรงงานจำนวนมาก

2. เทคโนโลยี: E7 กำลังพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในด้านดิจิทัลและพลังงานสะอาด

3. การปฏิรูปเศรษฐกิจ: หลายประเทศใน E7 กำลังปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อเปิดตลาดและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

 

หากมองย่อยไปยังแต่ละประเทศในกลุ่ม E7 จุดเด่นที่เห็นได้ เช่น 

 

จีน: เป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกสินค้าของโลก, มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เช่น Alibaba, Tencent, Huawei, และเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทน

 

อินเดีย: เป็นศูนย์กลางด้าน IT และ Outsourcing, มีบริษัทชั้นนำด้านยาและเทคโนโลยีชีวภาพ, และมีอุตสาหกรรมอวกาศที่กำลังเติบโต

 

บราซิล: เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก, มีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองขนาดใหญ่, และมีบริษัทชั้นนำด้านพลังงานและปิโตรเคมี

 

รัสเซีย: เป็นผู้ผลิตและส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก, มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีอวกาศและการทหาร, และมีบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

 

อินโดนีเซีย: เป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของโลก, มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว, และมีบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีการเงิน (Fintech)

 

เม็กซิโก: เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลก, มีอุตสาหกรรมการบินและอวกาศที่กำลังเติบโต, และมีบริษัทชั้นนำด้านโทรคมนาคม

 

ตุรกี: เป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งที่สำคัญ, มีอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่แข็งแกร่ง, และมีบริษัทชั้นนำด้านการก่อสร้างและพลังงาน

 

ในความเป็นจริงแล้ว จีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากวัดจากสิ่งที่เรียกว่า Purchasing power parity (PPP) หรือความเสมอภาคของอำนาจซื้อ

 

ขณะที่อินเดียได้ขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ของโลก และน่าจะแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นไปเป็นเบอร์ 2 ได้ ในปี 2040 พร้อมกับการพุ่งขึ้นมาเป็นเบอร์ 4 ของอินโดนีเซีย ในปี 2050

 

ขณะที่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจเดิมอย่าง สหราชอาณาจักรจะหล่นลงไปเป็นเบอร์ 10 ฝรั่งเศสไม่ติด 1 ใน 10 ส่วนอิตาลีไม่อยู่ใน 20 อันดับแรก และภาพรวมของ 27 ประเทศในกลุ่มยุโรปจะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของเศรษฐกิจโลก

 

โอกาสสำหรับ ‘ธุรกิจ’ เพื่อเป็นผู้ชนะในตลาดเกิดใหม่

 

ในอดีตที่ผ่านมาประเทศเกิดใหม่ที่ถูกเรียกว่า Emerging Market มีจุดเด่นในเรื่องของการเป็นแหล่งผลิตที่ต้นทุนต่ำ แต่ในช่วงเวลาที่ตลาดเกิดใหม่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และขยายตัวอย่างเต็มที่ ความน่าสนใจในฐานะฐานการผลิตจะลดลง และเปลี่ยนไปเป็นตลาดผู้บริโภคและตลาดระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ที่น่าสนใจมากขึ้น 

 

จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกพยายามขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่หลายประเทศ แต่บริษัทต่างชาติจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่นและพลวัตของตลาดท้องถิ่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

สำหรับธุรกิจในประเทศหรือในภูมิภาคที่เกิดขึ้นมาใหม่ แม้ว่าอาจจะมีทรัพยากรในด้านทุนและประสบการณ์ที่น้อยกว่า แต่ด้วยความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าท้องถิ่นที่มากกว่า อาจเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้ธุรกิจใหม่ๆ สามารถสอดแทรกขึ้นมาแข่งขันได้

 

ความท้าทายสำหรับ ‘ธุรกิจ’ ในตลาดเกิดใหม่

 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเติบโตของกลุ่ม E7 คือทิศทางของการกำหนดนโยบายของแต่ละประเทศ จากการศึกษาของ PwC ระบุไว้เช่นกัน ถึงแนวทางการกำหนดนโยบายที่ควรพิจารณาให้ดี

 

1. หลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้า ซึ่งประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าจะเป็นผลเสียต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

 

2. พยายามกระจายผลประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ให้ทั่วถึงในสังคม การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้กับทุกคน

 

3. พัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวเพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตของโลกในระยะยาวมีความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การมุ่งสู่การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ

 

โฟกัสเทรนด์ระยะยาว อดทนต่อความผันผวนระยะสั้น

 

โดยสรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด และตลอด 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเช่นนั้น สะท้อนจากตัวอย่างของจีนที่ขึ้นมาท้าทายสหรัฐฯ หรือการที่หลายประเทศเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจของตัวเองจนขึ้นมามีบทบาทในเศรษฐกิจโลกหรือภูมิภาค แม้แต่ประเทศใกล้บ้านเราอย่าง อินโดนีเซีย และเวียดนาม

 

แต่ระหว่างทางของการแข่งขันเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังคือความผันผวนที่อาจจะเพิ่มขึ้นมาก และการต่อสู้กันของกลุ่มอำนาจเศรษฐกิจเก่าและกลุ่มที่กำลังเติบโต นำไปสู่สงครามการค้าแบบที่เห็นกันอยู่

 

สิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจหรือการลงทุนถัดจากนี้คือ การอดทนต่อความผันผวนในระยะสั้นของแต่ละประเทศหรือแต่ละตลาด และโฟกัสกับเทรนด์ระยะยาว

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats