×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

โลกไม่ปล่อยให้เราเกษียณ?

290

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

…เคยคิดมั้ยว่า จะทำงานถึงอายุเท่าไหร่? 

 

…ทำไมคนทั่วโลกทำงานเลยวัยเกษียณมากขึ้น?

 

…จะทำอย่างไร? ถ้าโลกอาจไม่ปล่อยให้เราเกษียณ

 

ถอดบทเรียนสังคมสูงวัย ‘ญี่ปุ่น’

 

สถานการณ์ที่ “ญี่ปุ่น” สังคมสูงวัยของโลกที่น่าจะเป็นบทเรียนทำให้หลายประเทศได้เตรียมพร้อมรับมือก่อนที่วันหนึ่งเราจะต้องก้าวไปอยู่ ณ จุดนั้น โดยช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่นวัยเกษียณต้องกลับมาทำงานหาเงินกันต่อ ทั้งเพื่อเอาสังคมและหาเงินประทังชีวิต

 

ข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ระบุว่า เมื่อปี 2022 มีชาวญี่ปุ่นอายุ 65-69 ปี ประมาณ 52% อยู่ในตลาดแรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราสูงสุดในบรรดาประเทศกลุ่ม OECD เพราะอัตราส่วนของแรงงานกลุ่มนี้ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 33% สหราชอาณาจักร 26% และเยอรมนีอยู่ที่ 20%

 

สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์การจ้างงานของรัฐบาลญี่ปุ่นที่แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนชาวญี่ปุ่นอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มองหางานเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว และต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในการหางานที่เหมาะสมกับตัวเองในภาวะที่ตลาดแรงงานญี่ปุ่นที่กำลังหดตัวลง

 

ข้อมูลจากศูนย์การจ้างงาน Hello Work ในเขต “อิเคบุคุโระ” ของโตเกียว ระบุว่าตอนนี้คนญี่ปุ่นสูงวัยจำเป็นทำงานเพื่อหารายได้เสริม และบางคนก็แค่ต้องการชีวิตแบบแอคทีฟต่อไป เช่น บางคนอายุ 66 ปี ก็อยากทำงานต่อไปจนถึง 70 ปี

 

ช่วงต้นปี 2024 มีคนมาหางานที่ศูนย์วันละกว่า 100 คน ในจำนวนนี้จำนวนมากเป็นคนวัย 70 หรือ 80 ปี ต่างจากช่วงปี 2001-2018 ที่ตอนนั้น คนหางานกลุ่มใหญ่สุดจะเป็นคนรุ่น 25-29 ปีเท่านั้น

 

ปัจจุบัน สัดส่วนคนหางานอายุ 65 ปีขึ้นไป มีประมาณ 13% ของทั้งหมด เพิ่มจาก 5% ในช่วง 10 ปีก่อน และหากรวมคนที่อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ก็จะมีสัดส่วนประมาณ 65% เลยทีเดียว

 

ส่วนงานยอดนิยมในกลุ่มคนสูงวัยคือ งานแนวเสมียน แต่ตำแหน่งที่มักจะเปิดหาคนมักเป็นงานผู้จัดการผู้ดูแลอาคารอะพาร์ตเมนต์ และคนทำความสะอาด 

 

นอกจากนี้ บางบริษัทในธุรกิจที่ขาดแคลนแรงงานอย่างหนักกำลังหันมาจ้างคนสูงวัยมากขึ้น เช่น งานดูแลคนในเนิร์ซเซอรี่ ป้อนอาหาร อาบน้ำ และทำความสะอาด ก็เปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีประสบการณ์มาทำงานด้านนี้มากขึ้น โดยข้อมูลระบุว่า ตอนนี้ มีคนสูงวัยทำงานในเนิร์ซเซอรี่เพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วง 4 ปี

 

สำหรับชาวญี่ปุ่นตอนนี้ก็เหมือนหลายๆ ประเทศในโลก ที่แค่มีเงินบำนาญอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการใช้ชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น

 

สำนักงานบริการการเงินของญี่ปุ่นประเมินว่า เมื่อปี 2019 เงินบำนาญประมาณ 20 ล้านเยน หรือราวๆ 4,364,668 บาท เป็นเงินที่จำเป็นสำหรับใช้ชีวิตหลังเกษียณ แต่บางคนก็บอกว่า เงินแค่นี้ไม่พอใช้

 

‘ยุโรป’ เริ่มขยายอายุเกษียณ

 

ส่วนฝั่งของ “ยุโรป” ที่ขึ้นชื่อเรื่องมีระบบสวัสดิการสังคมและบำนาญดีเยี่ยม เกษียณแล้วก็รับเงินใช้แบบสบายๆ หลังจากทำงานจ่ายภาษีหนักมาครึ่งค่อนชีวิต แต่ตอนนี้สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน มีการขยายอายุเกษียณ โดยตอนนี้ในชาติกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ EU อายุเกษียณเฉลี่ยอยู่ที่ 64 ปี แต่หลายประเทศในยุโรป คนก็ต้องทำงานเลยอายุ 65 ปี หรือบ้างคนก็ทำงานกันจนถึง 75 ปี ซึ่งแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันไป

 

สถิติเมื่อปี 2021 ระบุว่า ชาวยุโรปอายุ 60-64 ปี ยังคงทำงานอยู่ประมาณ 46.4% ส่วนอายุ 65-69 ปี ยังทำงานอยู่ 13.2% คนอายุ 70-74 ปี ยังทำงานอยู่ 4.9% และอายุ 75 ปีขึ้นไป ยังทำงานอยู่ 1.4%

 

“เอสโตเนีย” เป็นหนึ่งในชาติยุโรปที่มีอัตราการจ้างงานคนอายุ 65-69 ปี และ 70-74 ปี ในระดับสูงสุด แม้ว่าอายุเกษียณตามกฎหมายคือ 64 ปีก็ตาม ส่วนเหตุผลที่การจ้างงานคนสูงวัยสูงแบบนี้ส่วนใหญ่เกิดจากผู้หญิงเอสโตเนียที่เกษียณอายุช้า

 

แต่หากดูในกลุ่มของแรงงานชายจะพบว่า “ไอร์แลนด์” เป็นชาติที่มีอัตราการจ้างงานผู้ชายในกลุ่มอายุดังกล่าวมากที่สุด

 

ในปี 2021 “สวีเดน” เป็นชาติกลุ่มอียู ที่มีจำนวนคนทำงานอายุ 75 ปีขึ้นไปมากที่สุดในกลุ่ม หรือยังทำงานอยู่ประมาณ 7%

 

ทำไมชาว EU ยังต้องทำงานหลังเกษียณ?

 

รายงานของ Eurostat ระบุว่า เมื่อปี 2012 หรือ 10 กว่าปีก่อน คนสูงวัยเกือบ 30% บอกว่า พวกเขายังต้องทำงานอยู่เพื่อหารายได้เสริม หรือบ้างก็เพื่อหาเงินทำให้รู้สึกว่ามีเงินบำนาญในอนาคตมากขึ้น

 

สำหรับยุคนี้ คนสูงวัยที่ทำงานบอกว่า พวกเขาต้องการเพิ่มความมั่นคงด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะอยากได้เงินบำนาญเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือการหาเงินเพื่อเอาไปลงทุนกับกองทุนต่างๆ บ้างก็ทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหารายได้มาเสริมกับเงินบำนาญที่ได้รับเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้พวกเขามั่นใจมากขึ้นว่ามีรายได้พอเลี้ยงดูตัวเอง รวมถึงช่วยเหลือคนอื่นๆ ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ หรือพ่อแม่ก็ตาม

 

แล้วพวกเขาทำงานอะไรกันบ้าง ที่ผ่านมา คนในประเทศกลุ่มอียูที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และยังต้องทำงานกันอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเกษตรกร คนทำงานด้านป่าไม้ และประมง แต่ปัจจุบันจะเห็นว่า ธุรกิจด้านบริการสังคมและสุขภาพ และค้าปลีกกำลังเป็นธุรกิจที่มีการจ้างงานคนอายุ 65 ปีจำนวนมากเช่นกัน

จากข้อมูลพบว่าจำนวนคนสูงวัยทำงานในภาคธุรกิจสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากไม่ถึง 10% ในปี 2008 เป็น 20% นิดๆ ในปี 2021

 

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจแต่ละประเภทในบางประเทศก็มีจ้างงานคนสูงวัยคนละกลุ่มกัน บางธุรกิจเน้นจ้างผู้ชาย บางธุรกิจเน้นผู้หญิง เช่น ใน “เอสโตเนีย” แรงงานชายสูงวัยส่วนใหญ่จะทำงานในอุตสากรรมการผลิต ส่วนผู้หญิงส่วนใหญ่ทำงานด้านให้บริการตามครัวเรือนเป็นหลัก

 

ผู้ชายในไอร์แลนด์และสวีเดนอายุ 65 ปีขึ้นไป มักจะทำงานในภาคเกษตรกรรม ส่วนผู้หญิงจะทำงานในธุรกิจบริการสุขภาพและสังคม

สถิติที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ในปี 2021 ชาวอียูอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปที่ยังทำงานนั้น ประมาณ 40% เป็นพวกทำงานอิสระหรือเป็นนายจ้างตัวเอง

นอกจากนี้ ประมาณ 59% ของคนสูงวัยที่ทำงานก็จะทำงานพาร์ทไทม์ไม่ใช่งานประจำแบบเต็มเวลา

 

‘คนไทย’ สูงวัยแต่ไร้เงินเก็บ

 

ส่วนใน “ไทย” นั้นก็พบว่า คนไทยสูงวัยจำนวนมากเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านความไม่เพียงพอของรายได้   

 

โดยผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในประเทศไทยแทบไม่มีเงินออมและไม่ได้วางแผนเพื่อการเกษียณ ส่งผลให้แม้จะอายุเกิน 60 ปีแล้วก็ยังคงต้องทำงานต่อไปเพื่อหาเลี้ยงชีพ สถานการณ์นี้กำลังกลายเป็นความเสี่ยงในภาคการคลังของประเทศไทย ที่ต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในการดูแลผู้สูงอายุ

 

ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2021 พบว่า 45.7% ของผู้สูงอายุในประเทศไทยไม่มีการออมเงิน ส่วน 54.3% ของผู้สูงอายุมีการออม แต่ก็พบว่า คนส่วนใหญ่มีเงินออมน้อย โดย

 

  • มูลค่าการออมต่ำกว่า 50,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 41.4%
  • มูลค่าออมระหว่าง 50,000-99,999 บาท คิดเป็นสัดส่วน 21.7%
  • มูลค่าออมระหว่าง 100,000-399,999 บาท คิดเป็นสัดส่วน 25.0%
  • มูลค่าออมระหว่าง 400,000 บาทขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 11.9%

เมื่อการออมน้อยทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากในประเทศไทยยังคงทำงานต่อไป ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังพบว่าในปี 2021 มีจำนวนผู้สูงอายุที่ยังต้องทำงาน 5.11 ล้านคนหรือคิดเป็น 37.5% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมา 4 แสนคนจากปี 2020 ส่วนใหญ่ 59.3 % อยู่ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งได้ค่าจ้างเฉลี่ยเพียง 5,796 บาทต่อเดือน อีก 30.5% อยู่ในภาคการผลิตและการค้า ได้รับค่าจ้างเฉลี่ย 13,848 บาทต่อเดือน และมีผู้สูงอายุที่ทำงานอยู่ในภาคการผลิต 10.2% ได้ค่าจ้างเฉลี่ย 12,555 บาทต่อเดือน

 

ดังนั้น “ระบบสวัสดิการและบำนาญ” จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของคนหลังวัยเกษียณ เพราะการมีรายได้ไม่เพียงพอจะกดดันให้คนกลุ่มนี้จำเป็นต้องอยู่ในตลาดแรงงานต่อไปเรื่อยๆ

 

10 ประเทศ ที่มีระบบบำนาญดีที่สุดในโลก

 

ข้อมูลจากรายงาน Mercer Global Pension Index 2023 ได้เปรียบเทียบแพ็กเก็จบำนาญของ 47 ประเทศทั่วโลก ซี่งรวมไทยด้วย โดยมีการประเมิน 3 ด้านหลัก ได้แก่

 

1. ความเพียงพอ (Adequacy) ซึ่งจะพิจารณาจากผลประโยชน์ที่ได้รับ, การออกแบบระบบบำนาญ, การออม, การสนับสนุนด้านภาษี, การครอบครองบ้านที่อยู่อาศัย และการเติบโตของสินทรัพย์

 

2. ความยั่งยืน (Sustainability) ประเมินจากความครอบคลุมของบำนาญ, สินทรัพย์รวม, การจ่ายเงินสมทบของฝ่ายต่างๆ, โครงสร้างประชากร, หนี้สาธารณะ และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ

 

3. ความมั่นคงสมบูรณ์ (Integrity) ประเมินเรื่องกฎระเบียบ, ธรรมาภิบาล, การปกป้องคุ้มครอง, การสื่อสาร และต้นทุนการบริหารจัดการ

จากการประเมินนี้ ได้จัดกลุ่มประเทศตามเกรดตั้งแต่ A-E โดยกลุ่ม A จะมีคะแนนมากกว่า 80 ขึ้นไป ถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบบำนาญแข็งแกร่งระดับเฟิร์สคลาส มีผลประโยชน์ที่ดี มีความยั่งยืนและมั่นคงดี

 

ในปี 2023 ประเทศที่ได้อันดับ 1 คือ เนเธอร์แลนด์ ได้ 85 คะแนน โดยได้เกรด A ทุกด้าน รองลงมา คือ “ไอซ์แลนด์” “เดนมาร์ก” และ “อิสราเอล”

 

สำหรับ “ไทย” ติดอยู่ในกลุ่มเกรด D อยู่อันดับ 43 จากทั้งหมด 47 ประเทศ ซึ่ง Mercer และ CFA Institute ระบุว่า ระบบบำนาญไทยยังต้องได้รับการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น ขยายให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม ต้องมีการเพิ่มอัตราการสมทบ และเพิ่มจำนวนเงินยังชีพขั้นต่ำด้วย

 

รายงานฉบับนี้ยังบอกด้วยว่า ระบบบำนาญของประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงได้ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกองทุนบำนาญ พวกเขาไม่มั่นใจว่ากองทุนจะสามารถให้ผลประโยชน์เพียงพอหรือไม่ในระยะยาว ขณะที่โครงสร้างประชากรของหลายประเทศก็น่าห่วงทั้งเรื่องเด็กเกิดน้อย และคนสูงวัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลต่อไปว่า จะมีคนรุ่นใหม่จ่ายภาษีมากแค่ไหนเพื่อจะพอพยุงกองทุนบำนาญของคนรุ่นก่อนๆ

 

จากสถานการณ์ที่น่ากังวลเหล่านี้ เราคงจะหวังพึ่งพาระบบบำนาญและความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่สำหรับคนทำงานตอนนี้คงต้องพยายามบริหารจัดการรายได้และเงินออมให้ดีมากขึ้น เพื่อปูทางสู่อนาคตทางการเงินที่มั่นคงขึ้นหลังเกษียณอายุ 

 

ตราบใดที่ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า หลังเกษียณจะมีเงินใช้เพียงพอ ก็ต้องพยายามฝึกฝนพัฒนาทักษะอาชีพอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ และที่ขาดไม่ได้คือ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพราะค่ารักษาพยาบาลนั้นถือเป็นค่าใช้จ่ายก้อนโตที่สั่นคลอนฐานะทางการเงินหลังเกษียณได้มากที่สุด

Related Stories

amazon anti fatigue mats