1O ปี ก่อนเกษียณ เตรียมตัวอย่างไรให้มีสุข
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
“เกษียณ” คำสั้นๆ ที่มีความหมายลึกซึ้งกว่าที่คิด เพราะไม่ใช่แค่การหยุดทำงาน แต่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต แต่ที่น่าแปลก คือ แม้ทุกคนจะรู้ว่าวันนั้นต้องมาถึง แต่คำถาม คือ เตรียมพร้อมรับมือให้พร้อมแล้วหรือยัง?
Wealth Me Up ชวนไปฟังมุมมอง “พี่ลูกหมู” คุณนฤมล บุญสนอง นักวางแผนการเงิน กับอีกมุมของวัยเกษียณว่าถ้าไม่ได้เตรียมแผนเกษียณเอาไว้ มีอะไรที่อาจจะต้องเจอบ้าง และในช่วงโค้งสุดท้าย (เช่น 10 ปี หรือ 5 ปีก่อนเกษียณ) ก่อนเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต ควรเตรียมตัวเองอย่างไร?
“คนส่วนใหญ่คิดว่าเกษียณ เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน ดังนั้น แผนเกษียณก็จะมาอยู่ท้ายสุด แล้วจะนึกได้ก็ต่อเมื่ออายุราว 55 ปีว่าอีก 5 ปี นายจ้างจะไม่จ้างแล้ว” คุณนฤมล บอก
เท่าที่คุณนฤมลสัมผัส พบว่าปัญหาใหญ่ของคนเกษียณ คือ “เงินไม่พอใช้” ในขณะที่รายจ่ายยังคงปรับขึ้นตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่รายได้กลับหายไปเกือบหมด “นี่คือความเป็นจริงที่หลายคนไม่อยากเผชิญ”
ยิ่งเมื่อดูตัวเลขแรงงานไทยปี 2566 ยิ่งน่าเป็นห่วง จากประชากรวัยทำงาน 40 ล้านคน แบ่งเป็นภาคเกษตร 30% และนอกภาคเกษตร 70% แต่ที่น่าตกใจ คือ การกระจายตัวของรายได้ มีคนถึง 42.4% ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน 10,000 – 14,999 บาทต่อเดือน (สัดส่วน 20.9%), 15,000 – 29,999 บาทต่อเดือน (สัดส่วน 26.0%) และมีเพียง 10.1% ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องท้อแท้ ตรงกันข้าม กลับเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้ เพราะการจะมีชีวิตที่สุขสบายหลังเกษียณไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องของการวางแผนและลงมือทำอย่างมีระบบ
คำถามสำคัญที่ต้องถามตัวเอง คือ อยากเกษียณแบบไหน? เกษียณสุขที่มีเงินใช้อย่างสบายใจ หรือเกษียณทุกข์ที่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายทุกวัน คำตอบอยู่ที่การเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้
3 ความท้าทายสำคัญในวัยเกษียณ: เมื่อรายได้น้อยกลายเป็นปัญหาใหญ่
เมื่อพูดถึงการเกษียณ คุณนฤมล ตั้งข้อสังเกตว่าหลายคนอาจนึกถึงภาพชีวิตที่สบาย ได้พักผ่อน ท่องเที่ยว หรือทำในสิ่งที่รัก แต่ความเป็นจริงกลับท้าทายกว่านั้นมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับ 3 ปัญหาใหญ่ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
- วงจรแห่งการสร้าง: จากจุดเริ่มต้นถึงจุดเกษียณ
ชีวิตเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ที่ไม่มีวันจบ เริ่มจากการสร้างตัว สร้างบ้าน ซื้อรถ แต่งงาน มีลูก ทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งสิ้น และเมื่อถึงวัยราว 50 ปี เมื่อเริ่มจะมีความสุข มีเสถียรภาพ กลับพบว่าเวลาแห่งการทำงานเหลือน้อยลงทุกที จนกระทั่งถึงวัย 60 ปี วันที่บริษัทบอกลา นั่นคือ จุดเริ่มต้นของความท้าทายครั้งใหม่ หรือวัยเกษียณ
- Sandwich Generation: เมื่อต้องแบกรับทั้งบนและล่าง
ลองนึกภาพการ์ตูนที่มีตัวละครถูกบีบอัดระหว่างขนมปังสองชิ้น นั่นคือสถานการณ์ของคนวัยทำงานยุคนี้ ด้านบน คือ พ่อแม่ที่ต้องการการดูแล ด้านล่าง คือ ลูกๆ ที่ต้องส่งเสียให้เรียน บางคนต้องให้เงินพ่อแม่เป็นรายเดือน ขณะเดียวกันก็ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียน พอถึงวัย 45 – 50 ปี ภาระยิ่งหนักขึ้นเมื่อต้องดูแลพ่อแม่มากขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพ ส่วนลูกที่เรียนจบแล้วแต่ยังหางานไม่ได้
- สมการรายได้-รายจ่ายที่ไม่สมดุล
เปรียบเหมือนการวิ่งแข่งระหว่างรายได้กับรายจ่าย ตอนทำงานรายได้อาจจะนำหน้า แต่เมื่อเกษียณ รายได้กลับหยุดชะงัก ในขณะที่รายจ่ายยังคงวิ่งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายจิปาถะ ทุกอย่างมีแต่เพิ่มขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจ คือ การเกษียณอย่างมีความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดในครอบครัวแบบไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าบริหารชีวิตและการเงินอย่างไร “จากประสบการณ์ เห็นทั้งคนที่เกิดในครอบครัวร่ำรวยแต่เกษียณแบบลำบาก และคนที่เกิดในครอบครัวยากจนแต่เกษียณอย่างสบาย เพราะพวกเขารู้จักเก็บออมและให้คุณค่ากับเงิน” คุณนฤมล เล่า
ทั้งหมดนี้ คือ เกมแห่งชีวิตที่ทุกคนต้องเล่น “จะรอดหรือร่วง” อยู่ที่การวางแผนและเตรียมตัว ถึงจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกวิธีใช้ชีวิตได้ คำถามสำคัญ คือ ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณดีแล้วหรือยัง
เรื่องน่าเศร้าในวัยเกษียณ: ความจริงที่ต้องเตรียมรับมือ
“ไม่เคยคิดว่าการเกษียณจะเป็นเรื่องท้าทายขนาดนี้” เป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อยครั้งจากผู้เกษียณอายุ และจากการพูดคุยกับผู้เกษียณอายุ คุณนฤมลพบว่ามี 4 เรื่องน่าเศร้าที่มักเกิดขึ้น
- เงินไม่พอใช้: วิกฤติที่มาพร้อมกับวัยเกษียณ
“แล้วเงินเท่าไรถึงจะพอ” เป็นคำถามได้ยินบ่อยที่สุด ลองมาคำนวณกันง่าย ๆ สมมติว่าต้องการใช้เงินเดือนละ 10,000 บาท หมายถึงต้องมีเงินปีละ 120,000 บาท
ถ้ามีอายุยืนถึง 90 ปี จะต้องมีเงินอย่างน้อย 4 ล้านบาท และถ้าอยู่ถึง 100 ปี ก็ต้องมีถึง 5 ล้านบาท แต่สมมติว่าเมื่อถึงวันเกษียณ มีเงินเก็บไม่ถึงครึ่งของจำนวนนี้ ก็ต้องลดค่าใช้จ่ายลง เช่น เหลือเพียงเดือนละ 5,000 บาท ขณะเดียวกันต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้ อยู่ให้เป็น
- สุขภาพไม่แข็งแรง: เมื่อโรคภัยมาเยือน
สุขภาพที่ดี คือ ลาภอันประเสริฐ คำโบราณนี้ยิ่งจริงในวัยเกษียณ เพราะเมื่อร่างกายไม่แข็งแรง ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ยังกระทบกับเงินเก็บที่มีอยู่ด้วย เช่น วัยเกษียณที่มีเงินเก็บได้ 5 ล้านบาท แต่ต้องใช้ไปกับการรักษาสุขภาพในโรงพยาบาลเพียงปีเดียวถึง 1 ล้านบาท
- ไม่มีที่อยู่อาศัย: ความกังวลเรื่องบ้าน
บ้าน คือ ปัจจัยสี่ที่สำคัญ แต่น่าแปลกที่หลายคนมองข้ามการวางแผนเรื่องนี้ บางคนคิดว่ามีบ้านแล้ว แต่กลับเป็นบ้านที่ยังผ่อนไม่หมด หรือบางคนต้องขายบ้านเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย สุดท้ายกลายเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง
- ภาระที่ต้องแบก: เมื่อต้องดูแลทั้งครอบครัว
“เกษียณ” ไม่ได้หมายความว่าภาระจะหมดไป หลายคนยังต้อง “แบกรับ” ภาระหลายอย่าง ทั้งการดูแลพ่อแม่ที่แก่ชรา ช่วยเหลือพี่น้องที่ลำบาก หรือส่งเสียลูกหลานที่ยังเรียนไม่จบ บางคนยังมีหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระ ทำให้เงินเก็บที่มีอยู่ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้ คือ ความท้าทายที่อาจทำให้วัยเกษียณกลายเป็น “วัยเศร้า” แทนที่จะเป็น “วัยสำราญ” อย่างที่หลายคนฝันไว้ อย่างไรก็ตาม ถ้ารู้และเข้าใจปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่วันนี้ ก็ยังมีโอกาสเตรียมตัวและวางแผนเพื่อรับมือได้ทัน เพราะการเกษียณที่มีความสุขไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องของการวางแผนและเตรียมพร้อม
วางแผนเกษียณ เริ่มตอนไหนดีที่สุด?
“ไม่มีใครแก่เกินเริ่ม แต่อาจสายเกินแก้” บทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่เริ่มตื่นตัวเรื่องการเกษียณตอนอายุ 45 ปี และวางแผนว่าจะเกษียณอายุ 60 ปี เพราะมีเวลาเหลือแค่ 15 ปีก่อนเกษียณ แต่ต้องเตรียมเงินไว้ใช้อีกนานกว่า 30 ปีหรือมากกว่านั้น จึงเหมือนวิ่งมาราธอนที่ต้องวิ่งเร็วกว่าปกติสองเท่า
“ถามว่าช้าไปหรือไม่ คำตอบเมื่อรู้ตอนแรกก็คิดว่าช้า แต่ก็ต้องสู้ ลงมือทำ และดูว่าเงินที่จะต้องเตรียมใช้หลังเกษียณ จำนวนเท่าไร และวันนี้มีอยู่เท่าไร เช่น เมื่ออายุ 60 ปี ต้องการใช้เงิน 5 ล้านบาท แต่วันนี้มี 3 ล้านบาท หมายความว่า 15 ปีนับจากวันนี้จะต้องเก็บให้ได้อีก 2 ล้านบาท” คุณนฤมล เล่า
ด้วยเหตุนี้ คุณนฤมลแนะนำว่า “ถ้าเป็นไปได้ควรวางแผนเก็บออมเพื่อเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ” เพราะตัวเลขจากการศึกษาชี้ให้เห็นพลังมหัศจรรย์ของการเริ่มต้นเร็ว โดยแค่เก็บเงินเดือนละ 1,000 บาท ตั้งแต่อายุ 20 ปี เมื่อครบ 40 ปี เงินจะเพิ่มเป็น 724,824 บาท และถ้าได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี จะกลายเป็น 1,449,579 บาท
สรุปง่ายๆ คือ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร วันนี้ คือ วันที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น อาจจะไม่สายเกินไปสำหรับคนอายุ 45 ปีหรือ 50 ปี แต่ต้องทุ่มเทมากกว่าเดิม ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ เริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุน้อยจะดีที่สุด เพราะเวลา คือ พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างความมั่งคั่ง
เตรียมตัว Landing สู่วัยเกษียณ: 3 ขั้นตอนสำคัญที่ห้ามพลาด
เปรียบเหมือนนักบินที่ต้องเตรียมตัวนำเครื่องบินลงจอด การ Landing สู่วัยเกษียณก็ต้องมีการวางแผนที่รอบคอบไม่ต่างกัน นี่คือ3 ขั้นตอนสำคัญที่คุณนฤมลแนะนำที่จะช่วยให้ Llanding สู่วัยเกษียณได้อย่างนุ่มนวลและปลอดภัย
1. สำรวจทรัพย์สิน – หนี้สิน: รู้ตัวตนทางการเงิน
เหมือนการตรวจสอบเครื่องบินก่อนบิน ต้องสำรวจสถานะการเงินของตัวเองให้ชัดเจน โดยสำรวจทรัพย์สินที่มีค่าและแปลงเป็นเงินสดได้ (เช่น เงินสดและเงินฝากธนาคาร เงินลงทุนในกองทุนรวมและพันธบัตรรัฐบาล กรมธรรม์ประกันชีวิต บ้าน ที่ดิน รถยนต์ ทองคำ) ขณะเดียวกันก็สำรวจหนี้สินว่าเหลืออยู่จำนวนเท่าไร
จากนั้นให้ตรวจสอบความมั่งคั่ง ด้วยการนำทรัพย์สินหักด้วยหนี้สิน ส่วนต่างที่ได้ คือ ความมั่งคั่งสุทธิ “เมื่อทราบความมั่งคั่งของตัวเอง ก็จะทราบว่าจะต้องเก็บออมอีกเท่าไรเพื่อให้ได้เงินเพื่อเกษียณตามเป้าหมายที่วางเอาไว้”
2. ปรับพฤติกรรมออม – ใช้จ่าย: เปลี่ยนนิสัยเพื่ออนาคต
เหมือนการปรับระดับการบินให้เหมาะสม ต้องปรับพฤติกรรมการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมาย โดยยึดหลักออมก่อน ใช้ทีหลัง หรือที่เรียกว่า Pay Yourself First
สูตรการจัดการเงินแบบใหม่
รายได้ – เงินออม = รายจ่าย (เหลือเก็บค่อยนำไปใช้จ่าย)
เป้าหมายขั้นต่ำเก็บออม: 10 – 20% ของรายได้ต่อเดือน
3. นำเงินไปลงทุน: สร้างผลตอบแทนระยะยาว
การลงทุนเพื่อวัยเกษียณอาจยึดหลัก 110 ลบด้วยอายุ (110 Age Rule) ซึ่งเป็นหลักการที่นักวางแผนการเงินทั่วโลกใช้กัน เช่น ถ้าอายุ 50 ปี ควรลงทุนในหุ้น 60% (110 – 50) และตราสารหนี้ 40% เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง
สำหรับการเลือกเครื่องมือลงทุน ควรเริ่มจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (SSF) ซึ่งนอกจากจะได้ผลตอบแทนแล้ว ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ที่สำคัญควรกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
การเตรียมตัว Landing สู่วัยเกษียณอย่างมืออาชีพ เปรียบเสมือนนักบินที่ต้องนำเครื่องลงจอดอย่างนุ่มนวล การเตรียมตัวสู่วัยเกษียณก็ต้องวางแผนอย่างรอบคอบและทำอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการสำรวจ “ระดับความสูง” ของตัวเองผ่านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน เพื่อรู้ว่ายืนอยู่ ณ จุดไหนของเส้นทางการเงิน
จากนั้น “ปรับระดับการบิน” ด้วยการจัดสรรรายได้ใหม่ โดยยึดหลัก “ออมก่อน ใช้ทีหลัง” พร้อมกับ “เลือกเส้นทาง” การลงทุนที่เหมาะสมกับอายุและความเสี่ยงที่รับได้
สุดท้าย อย่าลืมว่าไม่มีใครแก่เกินเริ่ม แต่อาจสายเกินแก้ ยิ่งเริ่มเร็ว โอกาสประสบความสำเร็จยิ่งมากขึ้น แต่ถ้าเพิ่งเริ่มในวัย 50 ปีก็ไม่ต้องท้อ เพียงต้องวางแผนให้รอบคอบและมีวินัยมากขึ้น เพราะการเกษียณอย่างมั่นคงไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของการวางแผนและลงมือทำอย่างจริงจัง