อำนาจแห่งทองคำทำไมคนยอมให้มูลค่า
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
…ทำไม? ‘ทองคำ’ ถึงเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง
…อะไร? ทำให้ทองคำมีอำนาจ
…แล้วทำไม? Warren Buffett ถึงไม่ชอบทองคำ
จุดเริ่มต้นอำนาจของ ‘ทองคำ’
ทองคำได้รับการยอมรับในฐานะโลหะมีค่า และตลอดประวัติศาสตร์ 5,000 ปีที่ผ่านมา ทองคำก็ถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนคล้ายกับเงินตราที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่สมัยโบราณความงามของทองคำได้ดึงดูดผู้คนให้ใช้ทองคำเพื่อสร้างทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขา ชาวอียิปต์โบราณถือว่าทองคำเป็นเนื้อหนังและกระดูกของเทพธิดา ช่างฝีมือชาวอียิปต์นำทองคำมาทำเป็นเครื่องประดับและวัตถุทางศาสนาที่สลับซับซ้อน
ขณะที่ชาวโรมันนำทองคำมาสร้างเป็นเหรียญที่ชื่อว่า Aureus เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หลังจากนั้นก็มีอีกหลายชนชาติที่สร้างเหรียญทองคำของตัวเองขึ้นมา และมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน เช่น ชาวเวนิสสร้างเหรียญทองคำที่ชื่อ Ducat, ชาวสเปนสร้างเหรียญทองคำชื่อ Escudo, ชาวอังกฤษสร้างเหรียญทองคำในหลายชื่อ ทั้ง Florin, Noble และ Guinea
ทองคำต่างไปจากแร่โลหะอื่นๆ อย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่าในบรรดาแร่โลหะต่างๆ ทองคำก็ไม่ใช่แร่ที่หายากที่สุด หรือแร่อื่นๆ เช่น เพชรก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน แล้วทำไมทองคำถึงกลายเป็นแร่โลหะที่มีอำนาจมากที่สุด
แม้จะไม่ใช่แร่ที่หายากที่สุด แต่ทองคำก็ยังจัดว่าหายาก จากการสำรวจในปัจจุบันพบว่ามีทองคำอยู่เพียงประมาณ 2.44 แสนตันทั่วโลก นอกจากนี้ทองคำยังมีความทนทานจนเรียกได้ว่ามันไม่สามารถถูกทำลายได้ ทองคำพกพาได้ง่าย แบ่งเป็นชิ้นได้ การแบ่งทองคำออกเป็นชิ้นไม่ทำให้ค่าของมันเปลี่ยนไป ท้ายที่สุดมันไม่สามารถถูกปลอมแปลงหรือทำให้เฟ้อได้
เมื่อเทียบกับแร่ธาตุอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นธาตุซึ่งมีสถานะเป็นแก๊ส, ธาตุซึ่งไวต่อปฏิกิริยาเกินไป, ธาตุที่เสื่อมสลายตามกาลเวลา หรือธาตุอื่นๆ ที่หายากจนเกินไป ส่วนเงินซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมหลายประการคล้ายกับทองคำ แต่ปัญหาคือเงินเกิดริ้วรอยได้โดยง่าย ทองคำจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการนำมากักเก็บมูลค่า
ทองคำผูกกับเศรษฐกิจโลก
ทองคำเริ่มเข้ามาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกสมัยใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 19 จากสิ่งที่เรียกว่า ‘มาตรฐานทองคำ Gold Standard’ หรือการที่ระบบการเงินที่ประเทศต่างๆ กำหนดมูลค่าเงินตราของตนเองโดยอ้างอิงกับทองคำในปริมาณที่แน่นอน หมายความว่า รัฐบาลจะรับประกันว่าจะแลกเปลี่ยนเงินกระดาษเป็นทองคำ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ ซึ่งทำให้ทองคำกลายเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
เมื่อทองคำมีมูลค่าที่แน่นอนมากขึ้น และเป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน ก็ยิ่งทำให้เกิดความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดมีช่วงเวลาที่เรียกว่า ยุคตื่นทอง (Gold Rush) หรือช่วงเวลาที่ผู้คนจำนวนมากแห่กันไปยังพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหลังจากมีการค้นพบทองคำในพื้นที่นั้น โดยหวังว่าจะขุดพบทองคำและร่ำรวยในชั่วข้ามคืน
ยุคตื่นทองที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์คือ ยุคตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย (California Gold Rush) ในปี 1848 ซึ่งนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากรในแคลิฟอร์เนีย และมีผลกระทบอย่างมากต่อประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
ต่อมาในปี 1944 ระบบเบรตตันวูดส์ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางของระบบอันเนื่องมาจากอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังจากช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายระหว่างสงคราม ทำให้โลกต้องการเสถียรภาพ โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการค้า แต่ก็ต้องการความยืดหยุ่นมากกว่ามาตรฐานทองคำแบบดั้งเดิม
ระบบเบรตตันวูดส์จึงกำหนดให้เงินดอลลาร์ผูกติดกับทองคำในอัตรา 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่สกุลเงินอื่นๆ มีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่แต่สามารถปรับได้เมื่อเทียบกับดอลลาร์
ในยุคของระบบเบรตตันวูดส์ เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ 1960 การขาดดุลการค้าเรื้อรังของสหรัฐฯ ทำให้ทุนสำรองทองคำของสหรัฐฯ ลดลง ทำให้ทุนสำรองทองคำของสหรัฐฯ ลดลง และเกิดความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของสหรัฐฯ ในการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์เป็นทองคำ นักเก็งกำไรเริ่มขายเงินดอลลาร์ และซื้อทองคำ เนื่องจากคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะลดค่าเงินดอลลาร์
ในที่สุด เดือนสิงหาคม 1971 ประธานาธิบดีนิกสันประกาศว่าสหรัฐฯ จะยุติการแปลงสภาพเงินดอลลาร์เป็นทองคำตามความต้องการสำหรับธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ระบบเบรตตันวูดส์ล่มสลาย และทองคำซื้อขายอย่างอิสระในตลาดโลก
หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์เป็นทองคำ ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนมองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน แต่ก็มาพร้อมความผันผวนที่มากขึ้น เนื่องจากไม่ได้ถูกตรึงไว้กับเงินดอลลาร์อีกต่อไป
ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง และป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และความผันผวนของตลาดหุ้น แม้ว่าทองคำจะไม่ได้เป็นแกนกลางของระบบการเงินระหว่างประเทศอีกต่อไป แต่ก็ยังคงเป็นสินทรัพย์สำรองที่สำคัญ ของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก
ทำไม? Warren Buffett ไม่ชอบทองคำ
แม้ทองคำจะเป็นที่ยอมรับทั่วโลก และเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ลงทุนที่สำคัญ แต่ในสายตาของนักลงทุนอย่าง Warren Buffett กลับไม่ชื่นชอบการลงทุนในทองคำ โดยมองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีประสิทธิผล ไม่สามารถสร้างรายได้หรือเพิ่มมูลค่าด้วยตัวมันเอง มูลค่าของทองคำขึ้นอยู่กับความกลัวและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้
Buffett เคยกล่าวไว้ว่า…
“ทองคำ… มีข้อบกพร่องสำคัญสองประการ คือ ไม่ค่อยใช้ประโยชน์ได้มากนักและไม่สามารถสร้างสิ่งอื่นๆ ขึ้นมาได้ต่อ จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในการใช้งานในบางอุตสาหกรรม แต่ความต้องการเพื่อจุดประสงค์เหล่านี้จำกัดและไม่สามารถรองรับการผลิตใหม่ได้ ในขณะเดียวกัน หากคุณเป็นเจ้าของทองคำหนึ่งออนซ์ในท้ายที่สุดคุณก็ยังคงเป็นเจ้าของทองคำหนึ่งออนซ์เท่าเดิม”
“โดยพื้นฐานแล้วทองคำเป็นทางเลือกการลงทุนเมื่อเกิดความกลัว แต่คุณต้องหวังว่าผู้คนจะกลัวมากขึ้นอีก และถ้าพวกเขากลัวมากขึ้น คุณก็จะทำเงินได้ ถ้าพวกเขากลัวน้อยลง คุณก็จะเสียเงิน แต่ทองคำเองไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมา”
ควรจะมีทองคำไว้มากน้อยแค่ไหน?
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้สร้างกระแสเงินสดระหว่างทาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาเพียงอย่างเดียว ทำให้ในทางทฤษฎีแล้ว นักลงทุนควรจะมีทองคำเพียงแค่ประมาณ 5-10% เท่านั้น
ในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตลงทุน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ มักจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี แต่ทองคำจะเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงที่ดีได้
















