×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไทย = รถติดหล่ม 4 เดือน รัฐบาลใหม่ทำอะไรได้บ้าง

1,892

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย

Youtube | Facebook | TikTokInstagramLine 

 

สรุปงานเสวนา “4 เดือน: สิ่งที่อยากเห็นจากรัฐบาลใหม่” เสียงสะท้อนจากผู้รู้…เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน ที่จัดขึ้นโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย

 

เศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือน ‘รถติดหล่ม’

 

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ว่าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกๆ ยังโตได้ดี แต่หากไปดูตัวเลขลึกๆ แล้วจะเห็นว่าที่โตได้เป็นเพราะการเร่งการส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และหากไปดูปัจจัยด้านการบริโภค การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวแล้วจะเห็นว่าไม่ได้เติบโตตามตัวเลข ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังนี้มีความเสี่ยงสูงมากที่เศรษฐกิจไทยจะโตติดหล่ม โดยเฉพาะในไตรมาส 4/2568 

 

ดังนั้นใน 4 เดือนนี้ โจทย์ของรัฐบาลใหม่คือจะต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้เศรษฐกิจฟื้นตัว และไม่มีผลลบในระยะยาว โดยต้องเป็นนโยบายที่ ‘กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว’ ซึ่งมี 5 เสาหลักดังนี้

 

1. กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส, บัตรสวัสดิการ 

2. ลดภาระหนี้ประชาชน เช่น Ari Score สินเชื่อเพื่อคนตัวเล็ก

3. เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs เช่น ค้ำประกันสินเชื่อ, Soft Loan

4. เพิ่มการออมของประชาชน เช่น สลากเพื่อการออม, พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม

5. ลงทุนเพื่ออนาคต เช่น Reskill ทักษะ, ปลดล็อกการลงทุนไฟฟ้า

 

วันนี้ ‘การคลังไทย’ อยู่ในจุดที่นิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไป

 

รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ย้อนกลับไป 20 ปี ประเทศไทยแทบไม่มีปีไหนที่ไม่ขาดดุล และขนาดการขาดดุลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบัน Moody’s และ Fitch ได้ปรับ Outlook ของไทยเป็น Negative และ S&P กำลังพิจารณาก่อนสิ้นปีนี้

 

จุดแข็งของไทยคือ หนี้ส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาทและอยู่ในประเทศ แต่จุดอ่อนคือ ‘ตลาดเริ่มไม่มั่นใจ’ ว่ารัฐบาลจะควบคุมขาดดุลได้จริงหรือไม่ ดังนั้นการสร้างความน่าเชื่อถือทางการคลัง ควรเป็น Priority หลักของรัฐบาล

 

โดยต้นตอของปัญหานี้ คือการมองสั้นเชิงนโยบาย การดำเนินนโยบายแบบหวังผลระยะสั้นเป็นสำคัญ และไม่ใส่ใจผลระยะยาวอย่างเพียงพอ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้จะบั่นทอนศักยภาพในการรับมือกับวิกฤตในอนาคต และหากไม่เร่งยกระดับ ‘กติกา-การถ่วงดุล-ความโปร่งใส’ ไทยอาจสูญเสียความเชื่อมั่นการคลังในระยะยาวได้

 

ใน 4 เดือนจะเห็นอะไรได้บ้างจากด้านพลังงาน

 

คุณกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โครงการเหล่านี้ (Quick Big Win) จะสามารถเห็นผลได้ใน 4 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย ‘กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว’ เช่น

 

  • โรงไฟฟ้า Solar Farm ชุมชน คาดว่าจะได้ 300 ชุมชน (15,000 ครัวเรือน) ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน 30,000 ล้านบาท (โดยเอกชนจับมือกับชุมชน) ลดการปล่อยคาร์บอน 0.98 ล้านตันต่อปี
  • Solar สูบน้ำ เพื่อการเกษตร ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งกว่า 30 จังหวัด คาดว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 30,000 ล้านบาท
  • ค่าลดหย่อนภาษีติดตั้งโซล่าร์เซลล์สำหรับบ้านอยู่อาศัย จะนำเข้า ครม. ภายในเดือนนี้ ซึ่งจะลดหย่อนภาษีไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย
  • Direct Power Purchase Agreement (DPPA) สัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงสำหรับ Data Center คาดว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้ 65,000 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวเสริมว่า ตัวอย่างนโยบาย ‘Quick Big Win’ เบื้องต้นที่ได้กล่าวไว้ เดินมาถูกทางตามกรอบที่วางไว้ในการที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด และช่วยในเรื่องของการบรรลุ 3 มิติ คือ ความมั่นคง-ความมั่งคั่ง-ความยั่งยืน และที่สำคัญคือการเพิ่มขีดความสามารถด้านการค้า ทั้งนี้ ดร.อารีพร ยังได้กล่าวถึงประเด็นค่าไฟ และอยากเสนอให้ปรับโครงสร้างราคาค่าไฟอย่างจริงจัง เพื่อลดภาระหนี้ สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และช่วยให้ประชาชนใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ภารกิจหลักของกระทรวงพาณิชย์

 

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ว่าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์มี 7 นโยบายดังนี้

 

1. รับมือภาษีสหรัฐฯ : จะมีการเจรจาต่อไปและจะจบภายในปีนี้ 

2. การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา : ให้การช่วยเหลือ ดูแลผู้ประกอบการในพื้นที่ตรงนั้น รวมถึงหาตลาดใหม่ให้ผู้ประกอบการไทยสำหรับสินค้าที่เคยส่งไปกัมพูชา

3. FTA และการบุกตลาดใหม่ : รักษาตลาดเดิมและหาตลาดใหม่

4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน : เช่น โครงการรู้ราคายาก่อนจ่าย ให้สิทธิ์ผู้ป่วยเลือกซื้อยาเองได้ โดยคาดว่าจะสามารถช่วยประหยัดค่ายาหากไปซื้อจากร้านขายยาข้างนอกได้ถึง 32,000 ล้านบาท/ปี

5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร : วิธีชะลอ Supply และพยายามส่งออก Supply ให้ได้เยอะๆ แทนการอุดหนุนและรับจำนำสินค้าเกษตรแบบในอดีต

6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs : เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

7. ปรับกฎระเบียบใช้เทคโนโลยี : ลดกระบวนการและขั้นตอนที่ไม่จำเป็น รวมถึงลดการใช้กระดาษ และไปใช้อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น

 

ไทยจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของอาเซียน ในปี 2030?

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย มองว่าเรื่องการกระตุ้นให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าก่อน เป็นเรื่องสำคัญมากในตอนนี้ และกล่าวเสริมถึงนโยบายที่อยากเห็นเพิ่มเติม ‘คานงัด 10X’ คือการใช้เงินน้อย แต่ได้ผลเยอะ เช่น นโยบาย SME-GP รัฐบาลให้ความสำคัญและจัดซื้อจัดจ้างกับ SMEs ไทย เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าจีนทีทะลักเข้ามาในไทย นโยบายเปิดประตูน้ำปลดล็อก เปิดทางให้บริษัทที่ได้ BOI เข้าสู่การ IPO ได้ เพื่อเป็นการเพิ่ม S-Curve รวมถึงเรื่องการปฏิรูปการออมเพื่อการเกษียณ 

 

เพราะหากไทยไม่ทำอะไรเลยในวันนี้ ไทยจะแพ้ประเทศอื่นๆ และจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของอาเซียนในปี 2030 และในปี 2032 ไทยจะกลายเป็นเสือตัวที่ 6 ของอาเซียน

 

#WealthMeUp

Related Stories

amazon anti fatigue mats